ต่อจากรายงานความคืบหน้าในงานด้านสิ่งแวดล้อมของ Apple เรื่องสำคัญอีกเรื่องคืองานด้านสุขภาพ เจฟฟ์ วิลเลียม ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการได้ขึ้นมานำเสนอผลงานและเปิดตัวสิ่งใหม่ที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตอย่างที่คุณภาพยิ่งขึ้นและมีความสุขยิ่งขึ้น นี่เป็นคำบรรยายพร้อมคำแปลสิ่งที่นำเสนอบนเวทีวันนั้นอย่างละเอียด
The second initiative we’d like to talk about this morning is health.
งานที่สองที่พวกเราอยากนำเสนอเช้านี้คือเรื่องสุขภาพ
With the launch of ResearchKit last year, we’ve seen that Apple technology can have a positive impact on people’s health.
หลังจากที่ได้เปิดตัว ResearchKit เมื่อปีที่แล้ว พวกเราได้เห็นเทคโนโลยีของ Apple ว่าสามารถช่วยสร้างสิ่งดี ๆ ให้กับสุขภาพของผู้คนอย่างแท้จริง
And to tell us about some progress in this area, I’d like to invite Jeff Williams.
เพื่อนำเสนอความคืบหน้าเรื่องนี้ ผมขอเชิญ เจฟฟ์ วิลเลียม ขึ้นมาเล่าต่อ
Jeff.
เชิญครับเจฟฟ์
[ Applause ]
[เสียงปรบมือ]
>> Last year, we introduced ResearchKit and our goal was to use technology to solve some of the biggest problems facing medical research.
ปีที่แล้วพวกเราได้เปิดตัว ResearchKit และตั้งเป้าหมายว่าจะใช้เทคโนโลยีเพื่อช่วยแก้ปัญหาใหญ่บางประการที่งานวิจัยทางการแพทย์กำลังประสบอยู่
We wanted to make it easier for people to participate and research studies.
พวกเราต้องการให้ผู้คนเข้าร่วมได้ง่ายขึ้นและช่วยให้ทำการศึกษาวิจัยได้ง่ายขึ้น
And we wanted to make it easier to gather accurate and frequent data from the devices we’re all already carrying in our hands.
และพวกเราต้องการช่วยให้สามารถรวบรวมข้อมูลที่แม่นยำได้เป็นประจำและง่ายยิ่งขึ้นผ่านอุปกรณ์ที่พวกเราพกไว้ในฝ่ามือ
So what happened?
แล้วเกิดอะไรขึ้น
Virtually overnight, the research studies that we launched became some of the largest in history with tens of thousands of people signing up.
เพียงข้ามคืน มีผู้คนมากมายหลายหมื่นเข้าร่วมการศึกษาวิจัยที่เราเพิ่งเปิดตัวไป นับว่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่ง
Like in this Parkinson’s study which became the largest Parkinson’s study in history in less than 24 hours.
ตัวอย่างเช่นการศึกษาเรื่องโรคพาร์คินสัน ได้กลายเป็นกลายเป็นการศึกษาครั้งใหญ่ที่สุดในเวลาน้อยกว่า 24 ชั่วโมง
[ Applause ]
[เสียงปรบมือ]
Studies broke geographical boundaries.
การศึกษาครั้งนี้ได้ทำลายกำแพงทางภูมิศาสตร์อย่างสิ้นเชิง
Traditionally, studies are centered around the research institution but with ResearchKit, anyone, anywhere can participate.
ปกติแล้ว การศึกษาจะดำเนินการอยู่รอบ ๆ สถาบันวิจัยนั้น ๆ แต่ด้วย ResearchKit ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้จากทุกพื้นที่
Mount Sinai’s Asthma app actually discovered asthma triggers from all 50 states.
แอปฯ Asthma โดย Mount Sinai ได้ค้นพบสิ่งกระตุ้นการกำเริบอาการหอบหืดจากทั่วทั้ง 50 รัฐ
But more important than any of that, researchers are gaining insights that just weren’t possible before.
แต่ที่สำคัญมากกว่าทุกสิ่งก็คือ นักวิจัยได้รับข้อมูลเชิงลึกอย่างละเอียดอย่างที่ไม่เคยได้รับมาก่อน
Take diabetes.
ลองดูเรื่องโรคเบาหวาน
You and I know diabetes as type 1 and type 2
คุณและผมต่างก็รู้กันว่าโรคเบาหวานนั้นมีประเภท 1 และประเภท 2
but Mass General’s study of type 2 diabetes found that some people respond completely differently to therapies than others, supporting the theory that there are actually subtypes of type 2 diabetes, helping pave the way for precision medicine for the future.
แต่การศึกษา Mass General ของมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซสกับโรคเบาหวานประเภท 2 พบว่ามีบางคนตอบสนองต่อการรักษาต่างจากคนอื่น ๆ สนับสนุนทฤษฎีที่ว่ามีประเภทย่อยของเบาหวานประเภท 2 อยู่จริง ช่วยกรุทางสำหรับการวิจัยยาที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้นในอนาคต
Some of the world’s most respected institutions have
สถาบันวิจัยที่ทั่วโลกยอมรับบางแห่ง
released ResearchKit studies covering a wide range
ได้เปิดตัว ResearchKit สำหรับศึกษาโรคเบาหวานที่ครอบคลุมทั้ง
of diseases and conditions that affect billions of people around the world.
อาการของโรคและสภาวะต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนมากเป็นพันล้านคนทั่วโลก
ResearchKit is opening up all kind of possibilities and I’d like to you show a video to tell you more about it.
ResearchKit ช่วยเปิดโอกาสใหม่ ๆ ทุกมุมให้กับการวิจัยและผมอยากให้ชมวิดีโอนี้เพื่อเห็นถึงสิ่งที่ได้ค้นพบ
>> ResearchKit was created with the goal of improving medical research.
ResearchKit สร้างขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการวิจัยทางการแพทย์
A year later, we’re seeing app developers, doctors, and even patients take these ideas and make them more powerful than we could have ever dreamed.
ปีต่อมาพวกเราได้เห็นนักพัฒนาแอปฯ หมอและคนไข้ได้รับเอาแนวคิดนี้และนำพาการวิจัยให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่พวกเราคาดหวัง
>> We can detect autism as early as 18 months old but the median age that a child in US is diagnosed
พวกเราสามารถตรวจพบอาการออทิสซึมในเด็กอ่อนอายุเพียง 18 เดือนขณะที่อายุเฉลี่ยของเด็กในสหรัฐที่สามารถตรวจพบได้
with autism is five years old, so we need a radical new solution.
ว่ามีอาการออทิสซึมคือ 5 ขวบ เราจึงต้องมีหนทางรักษาที่ต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง
>> If autism is diagnosed early, it can have significant benefits for the child.
ยิ่งตรวจพบอาการออทิสซึมได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งดีสำหรับเด็กคนนั้น
The point of Autism and Beyond is to help engage parents in a ResearchKit study but more importantly is to eventually develop a tool that they can use at home with their child to screen for autism.
เป้าหมายของ Autism and Beyond คือช่วยให้ผู้ปกครองที่เข้าร่วมการศึกษา ResearchKit ได้เข้าใจยิ่งขึ้น และสำคัญกว่านั้นคือช่วยพัฒนาเครื่องมือสำหรับช่วยคัดกรองเด็กที่มีอาการออทิสซึมได้ทันทีในบ้านตัวเอง
>> We show the child videos and we use the front-facing camera to record the child’s reaction to these videos,
เพียงเราเปิดวิดีโอให้เด็กดู แล้วบันทึกปฏิกริยาของใบหน้าเด็กต่อวิดีโอเหล่านั้นด้วยกล้องด้านหน้า
and then we have algorithms that then can tell us about the child’s emotions and other behaviors.
จากนั้นวิเคราะห์ด้วยอัลกอริทึมที่พวกเรามีก็สามารถแปลความหมายของอารมณ์และพฤติกรรมต่าง ๆ ของเด็กได้
So we have a chance to understand child development in a completely new way.
ช่วยให้พวกเรามีโอกาสเข้าใจถึงพัฒนาการของเด็กคนนั้นด้วยวิธีที่ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
>> When you have large numbers of people participating in a research, their insights into the condition increase exponentially.
เมื่อคุณมีผู้คนเข้าร่วมการวิจัยจำนวนมากพอ ก็จะได้รับข้อมูลเชิงลึกของสภาวะต่างๆ เหล่านั้นมากขึ้นแบบก้าวกระโดด
With ResearchKit, we’re getting day by day assessments on how people are doing.
ด้วย ResearchKit พวกเราได้รับข้อมูลจากผู้เข้าร่วมละเอียดถึงระดับวันต่อวัน
>> Parkinson’s, it’s a disease that slows you down and exercise will make your feel better, that’s what I’ve come to learn.
โรคพาร์คินสันทำให้ผู้ป่วยทำอะไรช้าลงและการออกกำลังกายจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นได้ นั่นคือสิ่งที่ฉันได้เรียนรู้
What I’m trying to do lately is
สิ่งที่ฉันทดลองเร็ว ๆ นี้ก็คือ
to use the app before I exercise, and then afterward
ใช้แอปฯ นี้ก่อนและหลังการออกกำลังกาย
to see how exercise might forestall progression of it
เพื่อดูว่าการออกกำลังกายจะช่วยให้อาการของโรคนี้ไม่แย่ไปกว่าเดิมได้หรือเปล่า
because it’s not curable at the moment, at the moment [laughs].
นั่นเพราะยังไม่มีทางรักษาได้ในตอนนี้ ในตอนนี้นะ [หัวเราะ]
>> Now with mPower app, we’re getting information that can be used to personalize the care that patients receive.
ด้วยแอปฯ mPower ช่วยให้พวกเรารวบรวมข้อมูลเพื่อปรับการดูแลสำหรับผู้ป่วยรายนั้น ๆ ได้แล้ว
>> If we could bring research and care together and really bridge that gap, we can help people live healthier and happier lives.
ถ้าพวกเราสามารถรวมเอาการวิจัยและการดูแลผู้ป่วยเข้าด้วยกันอย่างแท้จริง พวกเราจะยิ่งช่วยให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพมากขึ้นและมีความสุขยิ่งขึ้น
>> I had my first epileptic seizure when I was three in a half.
ฉันมีอาการลมชักครั้งแรกเมื่ออายุสามขวบครึ่ง
I always have that fear first of all in the back of my mind.
ฉันมีความหวาดกลัวฝังลึกในจิตใจ
Am I going to have a seizure while I’m driving?
กลัวว่าฉันจะชักไหมตอนขับรถอยู่
What if I’m at work or I’m by myself?
กลัวว่าจะชักไหมตอนทำงานหรือตอนที่อยู่คนเดียว
How am I going to handle that situation?
แล้วฉันจะรับมือกันสถานการณ์เหล่านั้นได้อย่างไร
>> The EpiWatch app is the first research app to use the Apple Watch.
แอปฯ EpiWatch เป็นงานวิจัยแรกที่ใช้ประโยชน์จาก Apple Watch
So those sensors can be used to collect physiologic data during seizures and we’re using that data to try to develop a seizure detector.
เซนเซอร์ใน Apple Watch จะช่วยเก็บข้อมูลการเคลื่อนไหวขณะที่เกิดลมชัก และพวกเราก็ใช้ข้อมูลเหล่านั้นมาพัฒนาการตรวจจับอาการลมชักล่วงหน้า
>> The research that they are doing is exciting because they’re trying to find a predictor.
งานวิจัยที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นน่าตื่นเต้นมากเพราะพวกเขากำลังพยายามหาสิ่งเตือนล่วงหน้า
Having that would be amazing because I would know, hey, this is going to happen.
ถ้าสำเร็จจะน่าทึ่งมากเพราะฉันจะรู้ได้แล้วว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น
You have plenty of time to get to safety.
คุณจะมีเวลามาพอสำหรับการเตรียมพร้อมรับมืออย่างปลอดภัย
It’s like, OK, I got this.
มันรู้สึกเหมือน โอเค ฉันรับมือมันได้แล้วหละ
>> This is no longer just about research.
นี่ไม่ได้เป็นแค่การวิจัย
People are using apps to learn about themselves in a way
ผู้คนกำลังใช้แอปฯ เพื่อเรียนรู้ตัวเองในอีกทาง
that they couldn’t before to create a better life for themselves in terms of their own health.
เพื่อนำไปสู่การสร้างชีวิตที่ดีกว่า สร้างสุขภาพที่ดีกว่าในแบบของตัวเองอย่างไม่เคยมีมาก่อน
>> ResearchKit has clearly transformed research.
ResearchKit ช่วยเปลี่ยนรูปแบบการวิจัยอย่างชัดเจน
More importantly, it laid the foundation to transform care.
ที่สำคัญคือมันได้วางรากฐานสำคัญเพื่อการเปลี่ยนโฉมการรักษา
>> What’s really amazing about an iPhone is you have it in your pocket.
มันน่าทึ่งใช่ไหมที่ใช้เพียง iPhone ของคุณเอง
You don’t need any special equipment.
คุณไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องพิเศษอื่น ๆ อีกเลย
Here is the phone.
นี่คือโทรศัพท์
We can do this science.
พวกเราสามารถทำสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์
We can do this medicine with a phone.
พวกเราสามารถทำการรักษาได้ด้วยโทรศัพท์เครื่องเดียวนี้
[ Applause ]
[เสียงปรบมือ]
>> You know, when we introduced ResearchKit, our goal was simply to improve medical research, and we thought our work was largely done.
คุณทราบไหม ตอนที่เปิดตัว ResearchKit เราตั้งใจจะช่วยให้การวิจัยทางการแพทย์ทำได้ง่ายขึ้น และตอนนี้คิดว่าสิ่งที่ทำนั้นสำเร็จอย่างกว้างขวาง
But what you probably saw in the film and what became clear to us later is the very same tools we used to advance medical research can also be used to help people with their care.
แต่สิ่งที่คุณพอจะได้เห็นในวิดีโอและช่วยให้เราเข้าใจชัดยิ่งขึ้นก็คือเครื่องมือนี้นอกจากช่วยให้การวิจัยทางการแพทย์ก้าวหน้าแล้ว ยังช่วยเรื่องการดูแลผู้ป่วยได้เช่นกัน
Let me give you an example.
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูอีกที
In the Parkinson’s study, patients do a test several times with their iPhone like that simple tap test you saw on the video to assess their symptom levels.
ในงานศึกษาโรคพาร์คินสัน ผู้ป่วยทำการทดสอบหลายครั้งง่าย ๆ ด้วย iPhone เพียงแตะนิ้วอย่างที่คุณเห็นในวิดีโอ เท่านี้ก็ช่วยประเมินระดับอาการได้แล้ว
And researchers can see the symptom level across a range of days.
และนักวิจัยจะได้เห็นระดับอาการนี้ตลอดช่วงเวลาที่ผู้ป่วยทดสอบ
And they can see this before and after medication.
นี่ช่วยให้เห็นอาการก่อนและหลังการรับยา
And there were lots of patients like patients A where you can see that symptom levels improve post medication.
และพบว่ามีผู้ป่วยมากมายเหมือนผู้ป่วย A ที่พบว่ามีอาการดีขึ้นหลังรับยา
In other words, the medicine is working.
นั่นหมายความว่ายาที่จ่ายให้ได้ผล
But there were also a lot of patients like patient B where post medication, there’s no improvement at all.
แต่ก็มีผู้ป่วยอีกมากมายอย่างผู้ป่วย B ที่อาการไม่ดีขึ้นเลยหลังรับยา
Their symptom levels didn’t change.
ระดับอาการของพวกเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง
In other words, the medicine is not working.
แปลว่ายาตัวนี้ไม่ได้ผล
The patient either needs a different dose or a different medication or maybe no medication at all,
นั่นคือผู้ป่วยแต่ละรายต้องการชนิดและปริมาณยาแตกต่างกันไป หรือบางคนอาจไม่ต้องการยาเลยก็เป็นได้
but today neither the individual nor the caregiver has this information, and we think empowering people with data about their health is incredibly important.
แต่วันนี้ทั้งตัวผู้ป่วยและผู้ดูแลเองยังไม่เคยเห็นข้อมูลแบบนี้ และพวกเราคิดว่าการสนับสนุนผู้คนด้วยข้อมูลสุขภาพของเขาเองเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
So today we’re launching CareKit.
ดังนั้นวันนี้เราจึงภูมิใจเสนอ CareKit
[ Applause ]
[เสียงปรบมือ]
CareKit is a framework to build apps that empower people to take a more active role in their care,
CareKit เป็นเฟรมเวิร์คสำหรับสร้างแอปฯ เพื่อสนับสนุนผู้คนให้มีส่วนร่วมในการดูแลรักษามากยิ่งขึ้น
and the very first CareKit app being released today is for Parkinson’s.
และแอปฯ แรกที่ใช้ CareKit วันนี้คือแอปฯ สำหรับโรคพาร์คินสัน
And it surfaces some of that valuable information we discussed, so people can start understanding better what affects their health.
และนี้จะเปิดเผยข้อมูลสำคัญที่พวกเราเพิ่งคุยไป ผู้คนจะเข้าใจถึงผลกระทบต่อสุขภาพของพวกเขาได้ดีขึ้น
And these six leading institutions will begin using this app with their Parkinson’s patients immediately, so they can have a more informed discussion about individualized treatments.
สถาบันชั้นนำอีก 6 แห่งได้ร่วมกันใช้แอปฯ นี้กับผู้ป่วยพาร์คินสันทันที และจะได้รับข้อมูลสำหรับการรักษาผู้ป่วยแต่ละคนโดยเฉพาะ
Let me give you another example.
มาดูอีกตัวอย่างกัน
Surgery. One of the things physicians tell us is one of the most important things affecting outcome of surgery is actually what you do during the recovery process.
การผ่าตัด สิ่งหนึ่งที่หมอบอกพวกเราคือผลของการผ่าตัดจะออกดีแค่ไหนขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำในช่วงพักฟื้น
Yet, we go from being monitored by a team of highly trained specialist using leading edge technology to being discharged with this, a single sheet of paper.
พวกเราต้องย้ายจากการดูแลภายใต้ผู้เชี่ยวชาญที่ฝึกฝนมาเป็นอย่างดียิ่งด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าที่สุดไปสู่คำแนะนำในกระดาษแผ่นเดียวเมื่อออกจากโรงพยาบาล
This is actually what happens pretty much across the country.
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วประเทศ
This is your list of things to do, things not to do, which days you’re supposed to do them on.
นี่คือรายการสิ่งที่คุณต้องทำ สิ่งที่คุณห้ามทำ ในทุกวันหลังจากที่กลับไปอยู่บ้าน
And adherence to this is notoriously very poor.
และก็ใช่ว่าทุกคนจะทำได้ทุกอย่างที่แนะนำ
So, using the CareKit modules, we’ve been working with Texas Medical Center and they’ve created an app for the phone that got you through this critical process in a completely different way.
แต่ด้วยโมดูลของ CareKit พวกเราได้ทำงานร่วมกับ Texas Medical Center เพื่อสร้างแอปฯ ใหม่สำหรับโทรศัพท์เพื่อช่วยให้ผ่านขั้นตอนสำคัญนี้ได้ด้วยวิธีใหม่โดยสิ้นเชิง
It’s got a care card which is your list of things to do every day in checklist form, and as you fill them out, the little heart fills up, it’s really nice.
นี่คือแคร์การ์ดที่บรรจุรายการสิ่งที่คุณต้องทำทุกวัน มีเช็คลิสต์ให้คุณกรอกข้อมูลลงไป เมื่อรูปหัวใจเป็นสีแดงเต็มแล้ว ถือว่าวันนี้คุณผ่าน
It’s got a symptom and measurement tracker where you can record information on your progress.
และยังมีชุดติดตามอาการและการตรวจติดตามให้คุณบันทึกข้อมูลความก้าวหน้า
It’s, you can record things like your temperature to monitor for an infection or you can use the accelerometer on the iPhone to study the range of motion.
เพียงคุณกรอกข้อมูลอย่างอุณหภูมิร่างกายเพื่อติดตามว่ามีไข้หรือเปล่า คุณสามารถใช้ accelerometer ใน iPhone ช่วยบันทึกการเคลื่อนไหวได้อีกด้วย
And then you can share this information with your loved ones who can help support you through this recovery process.
จากนั้นก็แบ่งปันข้อมูลเหล่านี้กับคนที่คุณรักเพื่อช่วยอีกแรงให้คุณผ่านระยะพักฟื้นได้อย่างสมบูรณ์
And best of all, you can share this information with your physician who will take the results of how you’re doing and they will dynamically update your care plan, so it changes on the fly, something just not possible with a sheet of paper.
ที่สำคัญที่สุดคือคุณสามารถแบ่งปันข้อมูลเหล่านี้ให้กับหมอเจ้าของไข้เพื่อติดตามอาการของคุณและอาจะช่วยปรับแผนการดูแลได้ทันท่วงที เปลี่ยนได้เลย นี่คือสิ่งที่ทำไม่ได้กับกระดาษแผ่นเดียวอย่างแต่ก่อน
Those are just two examples of CareKit apps.
นั่นเป็นเพียงตัวอย่างแอปฯ สองแอปฯ ที่ใช้ CareKit
There are others coming and we think the possibilities here are limitless.
เราคิดว่าสิ่งที่กำลังจะตามมานั้นมีอีกมากมายไร้ขีดจำกัด
Now, a word about privacy, nothing is more sensitive than your health data.
วันนี้เราคุยกันเรื่องความเป็นส่วนตัว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าข้อมูลสุขภาพของคุณ
You decide which apps you use and with whom you share this information.
คุณเลือกได้เองว่าจะแบ่งปันข้อมูลจากแอปฯ ที่ใช้กับใครบ้าง
CareKit like ResearchKit will be open source
CareKit นี้เช่นเดียวกับ ResearchKit คือเราจะ open source
and it will be available in April.
และจะเปิดให้ใช้ในเดือนเมษายนนี้
We have been absolutely humbled and inspired by the response to ResearchKit and we can’t wait to see what great apps get created with CareKit.
ที่ผ่านมาพวกเราค่อนข้างถ่อมตัว แต่ก็ได้รับแรงบันดาลใจอย่างมากจากเสียงตอบรับต่อ ResearchKit พวกเราอดใจรอไม่ไหวแล้ว อยากเห็นว่าแอปฯ ดี ๆ ที่สร้างด้วย CareKit จะเป็นอย่างไรบ้าง
Thank you.
ขอบคุณครับ
Back to Tim.
กลับไปที่ทิมครับ
[ Applause ]
[เสียงปรบมือ]
>> Thank you.
ขอบคุณครับ
It’s amazing that in such a short period of time that ResearchKit has had a profound impact on the broad area of medical research, and our hope is that CareKit can have the same kind of impact on helping individuals manage their care.
น่าทึ่งมากที่เพียงช่วยเวลาสั้น ๆ ResearchKit ได้ส่งผลดีในวงกว้างต่อการวิจัยทางการแพทย์ พวกเราหวังว่า CareKit ก็จะช่วยให้เกิดสิ่งดี ๆ กับการดูแลผู้ป่วยเช่นกัน
รับชมวิดีโอส่วนนี้ตั้งแต่นาทีที่ 13:25 – 24:15
ข้อมูลเพิ่มเติม