ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งมายังเกสปุตตนิคม แสดง ประกาศวาทะ (ลัทธิ คติความเชื่อถือ หรือความคิดเห็น) ของตนเท่านั้น แต่กระทบกระเทียบ ดูหมิ่นกล่าวข่มวาทะของผู้อื่น ทำให้ไม่น่าเชื่อถือ…
ข้อแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์มีความสงสัย ลังเลใจ ในสมณพราหมณ์เหล่านั้นว่า ‘บรรดาท่านสมณพราหมณ์เหล่านี้ ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ’
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า กาลามชนทั้งหลายก็สมควรที่ท่านทั้งหลายจะสงสัย สมควรที่จะลังเลใจ ท่านทั้งหลายเกิดความสงสัยลังเลใจในฐานะที่ควรสงสัยอย่างแท้จริง มาเถิดกาลามะทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
(๑) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการฟังตามกันมา
(๒) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการถือสืบๆ กันมา
(๓) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ
(๔) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
(๕) อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง)
(๖) อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน
(๗) อย่าปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
(๘) อย่าปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
(๙) อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
(๑๐) อย่าปลงใจเชื่อเพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูเรา
กาลามะทั้งหลาย เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองเท่านั้นว่า ‘ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้วย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์’ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรละ (ธรรมเหล่านั้น) เสีย…
กาลามะทั้งหลาย เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตัวเองเท่านั้นว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ที่บุคคลถือปฏิบัติบริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึง (ธรรมเหล่านั้น) อยู่…
ที่ผ่านมายังมีหลายข้อที่ยังไม่สามารถปฏิบัติตามได้ แต่ต่อไปนี้จะขอยึดพระสูตรนี้เพื่อสอนตัวเอง เพื่อฝึกฝนตัวเองต่อไป