สนทนาผ่านงานดนตรีกับ Hans Zimmer

ภาษาของภาพยนตร์

ดำเนินไปด้วยสัญชาตญาณ

“ผมเริ่มต้นในที่เล็กๆ ในเมือง Santa Monica อย่างที่ผมเคยทำงานให้ห้องที่เต็มไปด้วยเครื่องมือสมัยใหม่” เขาเริ่มเล่า

“ผมไม่มีความรู้มากนัก แต่ผมเข้าใจด้วยสัญชาตญาณของผมเกี่ยวกับตัวหนัง ผมไม่คิดว่ามันจะสอนกันได้ เพียงแค่คิดว่ามันต้องทำ” เขาเล่าต่อ

“ในหนังเรื่องแรกๆ ของผม มันจำเป็นอยู่เองที่จะต้องเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ และทิ้งหลายๆ สิ่งไปบ้าง จนทุกสิ่งมันเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ” เขาสะท้อนความรู้สึกออกมา “ผมไม่รู้ว่าผมเข้าใจภาษาของหนังได้มากขึ้นเรื่อยๆ ได้อย่างไร มันไม่ใช่เรื่องที่ใครจะสอนมาสอนผมได้ มันเหมือนคุณต้องฝ่าฟันอุปสรรคด้วยสัชาตาของคุณและเรียนรู้ที่จะพูดภาษาเดียวกับมัน”

Image ผู้คนที่มาเข้าร่วม

เขายืนยันว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ผู้คนเข้ามาร่วมงานที่ศูนย์รวมนักประพันธ์ Media Ventures ที่เขาตั้งขึ้นในอาคารที่ดูคล้ายโรงเก็บของในเมือง Santa Monica เขาเล่าอย่างติดตลกว่า “พวกเขาเข้ามาร่วมกับเราอย่างที่อยากมา ก็เท่านั้นเอง”

“ผมให้อิสระ ไม่มีกฏเกณฑ์อะไรทั้งสิ้น” เขาเล่าไปยิ้มไป “ถ้าวันไหนผมพบว่ามีใครเสนอสิ่งที่น่าสนใจเข้าให้ดูหล่ะก็ ผมก็จะบอกเขาว่า ‘นั้นมันเยี่ยมมาก คุณได้งานนี้!’

“อย่างไรก็ดีมันมีคนที่มีความสามารถพิเศษน้อยกว่าที่ผมคิดไว้ ซึ่งผมเคยคิดว่ายังมีคนอีกเป็นล้านที่มีความคิดที่เจ๋งเป้ง แต่ไม่เคยมีใครฟังผลงานของเขา” เขาเล่าต่อ

“ในขณะที่ผมได้ฟังตัวอย่างนับพันๆ ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่ามันไม่ได้มีคนที่มีพรสวรรค์จำนวนมากมายขนาดนั้น” เขาเสริม “เพราะว่าคนที่จะเขียนเพลงด้วยความสามารถของเขานั้น เขาได้ขึ้นไปอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว”

พัฒนาความสามารถ

“มันไม่ได้มีนักแต่งดนตรีประกอบหนังอยู่มากมายนัก แต่มีคนที่คิดว่าพวกเขาสามารถแต่งดนตรีประกอบได้อยู่มากมาย ผมคิดว่าสิ่งที่พวกเขายังขาดสำหรับการเขียนดนตรีประกอบภาพยนตร์ในวันนี้คือทักษะอย่างที่ Elmer Bernstein, Jerry Goldsmith และ John Williams มี” เขาเล่า

“ขณะที่พวกเขากำลังเรียนรู้ที่จะแต่งเพลง พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัหาระบบคอมพิวเตอร์ล่มด้วย เลยทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะสร้างสรรค์งาน พวกเราเองก็ยังหวังอยู่ว่าจะได้เจอคนที่มีทั้งความคิดเจ๋งเป้ง ฝีมือสุดยอดและยังมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เข้าสักวัน” เขาเสริม

นักดนตรีตัวจริง

แม้ว่าเขาจะให้ตัวอย่างเสียง (Samples) ในการเขียนเพลง ในขั้นตอนสุดท้ายเขาจะให้นักดนตรีจริงในวงออเคสตร้าในการบรรเลง “สำหรับคลังตัวอย่างเสียง (Sample Library) ของผม ผมข้ามไปยังลอนดอนเพื่อบักทึกเสียงทั้งหมดจากเครื่องดนตรีทุกชิ้น ในวงออเคสตร้าที่เล่นโดยนักดนตรีชั้นยอด” เขาเริ่มเล่า “แต่ผมก็สัญญากับพวกเขาว่าผมจะไม่ใช้มันแทนนักดนตรีจริง นั่นเองที่ช่วยให้พวกเขาเล่นออกมาอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด”

“อุตสาหกรรมหนังเป็นที่สุดท้ายบนโลกนี้จะยังมีเงินจ้างวงออเคสตร้ามาเล่นให้ นักดนตรีเหล่านี้ได้ทุ่มเทอย่างหนักในการฝึกฝนฝีมือฝนเชิงศิลปะ พวกเขาก็สมควรจะได้รับการสมนาคุณบ้าง” เขายืนยัน

“พวกหมอและทนายความมักจะอ้างว่าพวกเขาต้องทุ่มเทเป็นเวลานานมากในการศึกษา แต่นักดนตรีเหล่านี้เขาเริ่มตั้งแต่อายุสามสี่ขวบ” เขาเล่าต่อ “ดนตรีแบบออเคสตร้ามันเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมานาน มันจึงไม่สมควรจะถูกทอดทิ้งหรือถูกแทนที่ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์เพียงเพราะเหตุผลด้านงบประมาณ”

Image

มุมที่ต่างออกไป

เขาวางแผนที่จะทำงานที่จะมาถึงอีกสามงานในห้องอัดที่บ้านของเขาที่ตั้งอยู่ริมชายหาด เขายังยืนยันต่อไปว่า “ผมไม่สนใจว่าจะต้องทำงานที่ไหน มันเป็นข้อได้เปรียบของคอมพิวเตอร์ที่คุณจะสามารถทำทุกอย่างได้บนเครื่อง PowerBook เลยทีเดียว”

มันถึงเวลาของดนตรี “ผมไปทุกหนทุกแห่งตราบใดที่ใจผมต้องการ” เขาทิ้งท้าย “ผมต้องการแสดงความคิดเห็น ผมต้องการเล่ามันออกมา และผมก็แสดงผ่านงานดนตรีของผม ไม่อย่างนั้นไม่ทำเสียดีกว่า”