พระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเสด็จฯ เป็นองค์ประธานเปิดการอบรม และพระราชทานปาฐกถาเรื่อง “การจัดการเรียนการสอนภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ ประจำปี 2549 จัดโดยสมาคมครูภาษาไทยแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

“การเรียนภาษาไทยในระดับประถมศึกษา เป็นการเรียนขั้นต้นเพื่อวางรากฐานการศึกษา ไม่เฉพาะด้านความรู้ภาษาไทย แต่เป็นรากฐานการศึกษาความรู้วิชาอื่นๆ เป็นรากฐานการคิด การรับคุณธรรม จริยธรรม การรู้จักระเบียบวินัยและกฎเกณฑ์ของสังคม ตลอดจนการปลูกฝังวัฒนธรรมไทยและความเป็นไทยด้วย สำหรับคนไทยภาษาไทยจึงเป็นภาษาที่มีความสำคัญมากที่สุด การเรียนระดับประถมศึกษาหากเรียนได้ถูกต้องแม่นยำแล้ว ผู้เรียนจะสามารถยึดถือเป็นหลักตลอดไป ทำให้ใช้ภาษาถูกต้องในการอ่าน การเขียน และการใช้ตามบริบทของสังคม
“ส่วนครูเป็นบุคคลสำคัญในการจัดการเรียนการสอน ครูจึงต้องมีความรู้ มีความทันสมัย ข้าพเจ้าขอให้ครูภาษาไทยทุกคนมีสุขภาพสมบูรณ์ มีกำลังใจมุ่งมั่นในการสอนภาษาไทยให้เด็กไทยรักและตั้งใจรักษาภาษาไทยไว้ให้เป็นสมบัติของประเทศชาติตลอดไป
เป็นไทยสมใจภาษาไทย จักได้สืบสกุลไม่สูญพันธุ์
เอาภาษาชาติอื่นเป็นพื้นพูด ของบูดเปลี่ยนหมดรสสีสัน
ภาษาสูญชาติตระกูลสูญด้วยกัน ภาษานั้นสัญลักษณ์หลักของไทย
“นี่เป็นบทกลอนที่ครูกำชัยสอนเอาไว้ตั้งแต่เรียนสมัยประถมศึกษา ภาษาไทยเป็นเครื่องมือถ่ายทอดความคิดเรื่องราวการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ นอกจากนี้ ภาษาเป็นเรื่องจำเป็นในการสื่อสาร เพราะชีวิตของเราเมื่อเทียบกับชีวิตของโลก ประเทศที่มีมาถือว่าชีวิตคนเราสั้นมาก ซึ่งชีวิตเราเกิดมาจะสะสมประสบการณ์ ความรู้ กว่าจะรู้ได้ดีไม่เท่าไรก็เสียชีวิต ดังนั้น การเรียนรู้จะเรียนรู้เพียงลำพังคนเดียวไม่ได้ ต้องเรียนรู้จากคนอื่นด้วย และเมื่อเราจะถ่ายทอดก็ต้องใช้ภาษา
“ปัจจุบันสื่อและเทคโนโลยีต่างๆ ช่วยรักษาภาษาเอาไว้ได้ แต่สมัยก่อนเป็นวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่ปัจจุบันจับต้องได้ ไม่ว่าจะเป็นการที่สามารถส่งข้อความไปในพื้นที่ที่ห่างไกลได้ ทั้งนี้ การที่ครูปัจจุบันต้องเอานักเรียนเป็นศูนย์กลาง หมายความว่าครูต้องหาวิธีให้เด็กได้เรียน เพราะแต่ละคนจะมีพื้นฐานไม่เหมือนกัน ดังนั้น เมื่อมาอยู่ในห้องเรียนเดียวกันต้องทำให้แต่ละคนพัฒนาตนเองไปได้ ก็ประสบความสำเร็จ
“คนที่จะอ่านได้ต้องอ่านอยู่เสมอ หากอ่านไปหยุดไปก็จะไม่ได้ เคยเห็นคนหลายคนเรียนจบประถมศึกษา พอกลับไปไม่ได้อ่านก็ลืมหมดแล้ว ส่วนมากคนที่อ่านหนังสือเก่งจะเป็นที่ครอบครัว ที่อาจจะบังคับ หรือลูกเห็นตัวอย่างจากพ่อแม่ก็ทำตาม แต่บางครอบครัวพ่อไม่ได้นั่งเขียนนั่งอ่านหนังสือ แต่เด็กมีโอกาสไปโรงเรียน ครูที่มาสัมมนาวันนี้ คือพ่อคือแม่ของเด็กที่ดีของเขา นอกจากการที่ครูจะต้องค้นคว้าแล้ว ครูต้องแสดงความชอบในเรื่องการอ่านหนังสือให้แก่เด็ก หรืออาจจะไปอ่านหนังสือมาแล้วก็เล่าให้เด็กฟังบางส่วน เพื่อจะทำให้เด็กอยากจะอ่านเรื่องนั้นต่อ
“นอกจากนี้ ครูภาษาไทยควรจะต้องส่งเสริมว่าเด็กจะนำภาษาไทยไปขยายสู่การเรียนรู้ในสาขาวิชาอื่นได้อย่างไร เช่นเด็กบางคนชอบวิทยาศาสตร์ ก็ต้องแนะนำให้อ่านหนังสือดังกล่าว ในสมัยเด็กข้าพเจ้าไม่อยากเรียนคณิตศาสตร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสอนให้แต่งโจทย์คณิตศาสตร์ เป็นเรื่องชีวิตนายทหารมหาดเล็กคนหนึ่งได้รับเงินเดือนเท่านี้ ออกไปจ่ายตลาด ซื้อของ มีลูกกี่คน ก็จะทำให้เราเข้าใจในคณิตศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น
“สำหรับภาษาต่างประเทศที่จะต้องนำมาเขียนด้วยอักษรไทย เช่น ภาษาจีน บางคำก็จะเขียนไม่ได้ บางครั้งเขียนไปครูภาษาไทยบอกว่าผิดภาษา จึงน่าจะมีกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งมากำหนดว่าจะเขียนอย่างไร อย่างไรก็ตาม ขอนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในปี พ.ศ.2503 มีใจความว่า ภาษานั้นเป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการหาความรู้ ที่หมายถึงความก้าวหน้าของคน จึงอยากให้ครูภาษาไทยภูมิใจในความเป็นครูภาษาไทย เพราะการที่ท่านสร้างความก้าวหน้าให้คน พัฒนาคนก็คือการช่วยพัฒนาชาติ”
พระเทพฯ ทรงแนะฟื้นคำคล้องจอง
เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์หลังเฝ้าฯรับเสด็จสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเสด็จฯทรงเป็นประธานเปิดการอบรม และพระราชทานปาฐกถาเรื่อง “การจัดการเรียนการสอนภาษาไทย” เนื่องในวันภาษาไทยแห่งชาติ 2549 ที่โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ ว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯทรงย้ำถึงความสำคัญของภาษาไทยที่จะเชื่อมโยงไปสู่การเรียนในวิชาอื่น โดยจะทำให้เข้าใจวิชาอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ พระองค์ทรงยกตัวอย่างคำคล้องจองต่างๆ ที่จะทำให้จำเนื้อหาสาระที่ครูสอนได้ง่ายขึ้น ทรงมีความห่วงใยเด็กสมัยใหม่ เพราะไม่เคยได้ยินคำคล้องจอง จึงยากให้มีการรื้อฟื้นขึ้นมาใหม่
“สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯยังรับสั่งถึงประโยชน์ของหนังสือ โดยอยากให้ ศธ.สนับสนุนให้มีหนังสือที่ส่งเสริมการเรียนในช่วงชั้นต่างๆ ให้มากขึ้น และยังรับสั่งว่า คนที่บริจาคหนังสือมักจะสนใจบริจาคแต่หนังสือเรียน แต่ความจริงแล้วหนังสือทั่วไปก็สามารถทำให้เด็กค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมได้” คุณหญิงกษมากล่าว
ที่มา หนังสืมพิมพ์มติชน ฉบับวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2549