ปล่อยไปตามธรรมชาติ ไอเดียหนุนเฟลฟ์คว้าโนเบล

หลังประการผลการตัดสินรางวัลโนเบล สาขาเศรษฐศาสตร์ เมื่อวันที่ 9 ตุลาคมที่ผ่านมา ชื่อของ เอดมันต์ เอส.เฟลฟ์ ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบียวัย 73 ปี ได้กลายเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนในวงการเศรษฐศาสตร์และการเมืองทั่วโลกรวมทั้งไทยด้วย เพราะเขาคือผู้คว้ารางวัลอันทรงเกียรตินี้ไปครอง

Edmund S. Phelps

Edmund S. Phelps – เอดมันต์ เอส.เฟลฟ์

ดิ อีโคโนมิสต์ จึงได้ค้นคว้าเรื่องราวและผลงานซึ่งเป็นเบื้องหลังที่ช่วยให้เฟลฟ์ชนะใจกรรมการผู้ตัดสิน ให้เขารับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ประจำปี 2549 ไปครอง โดยเรื่องราวที่จะถ่ายทอดนั้น เรียบเรียง และนำเสนอในชื่อเรื่อง “ทางเลือกเป็นไปตามธรรมชาติ” (The Natural Choice)

ดิ อีโคโนมิสต์ เกริ่นนำว่า เฟลฟ์เกิดมาในยุคที่เศรษฐกิจสหรัฐและทั่วโลกตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ (Great Depression) ตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2472 ซึ่งความตกต่ำกินเวลานานต่อเนื่องหลายปี ช่วงนั้นเฟลฟ์ใช้เวลาส่วนใหญ่พัฒนาสติปัญญา ด้วยการศึกษาปัญหาตกต่ำของสิ่งรอบตัว ได้แก่ราคาสินค้ากับหุ้น รวมถึงการค้าขายตกต่ำ และภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างที่สุดในอดีต ส่งผลกระทบต่อชีวิตครอบครัวของเฟลฟ์เพราะทำให้บิดาและมารดาของเขาต้องตกงาน นักศึกษารุ่นเดียวกับเฟลฟ์ส่วนใหญ่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวที่ร่ำรวยเงินทุน แต่สำหรับเฟลฟ์เวลานั้น ต้องใช้สมองกับความสามารถของตัวเองกว่าจะได้มาซึ่งชื่อเสียง

ในยุคเศรษฐกิจสหรัฐตกต่ำ ผู้กำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐยังคงความเข้มงวดอย่างมากกับอุปทานเม็ดเงิน ครั้งนั้นเฟลฟ์ให้ความสนใจกับปัญหาการว่างงานที่เกิดขึ้นซึ่งปัญหานี้แม้แต่บรรดานายธนาคารกลางทั่วอเมริกากลับไม่สามารถเยียวยาหรือแก้ปัญหาได้

ปี 2501 วิลเลียม ฟิลลิปส์ นักวิชาการจากลอนดอน สคูล ออฟ อีโคโนมิสต์ ที่มาของแนวคิดฟิลลิปส์ เคิร์ฟ ได้ศึกษาและพบว่าช่วงหลายร้อยปีก่อน ปัญหาว่างงานของอังกฤษอยู่ระดับต่ำเมื่อเงินเฟ้ออยู่ระดับสูง และปัญหาว่างงานกลับสูงเมื่อเงินเฟ้ออยู่ระดับต่ำ

ในรายงานเศรษฐศาสตร์ฉบับแรกของเฟลฟ์ ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2510 สะท้อนว่า นักเศรษฐศาสตร์หลายรายเร็วเกินไปที่สรุปว่าผู้กำหนดนโยบายมุ่งไปที่การสร้างสมดุลเศรษฐกิจมหภาค ในรูปแบบที่เรียกกันว่า “ฟิลลิปส์ เคิร์ฟ” ด้วยวิธีคิดในรูปแบบฟิลลิปส์ เคิร์ฟ ผู้กำหนดนโยบายเชื่อว่าจะสามารถจัดการปัญหาว่างงานที่ระดับ 6% และเงินเฟ้อที่ระดับ 1% ซึ่งเกิดขึ้นทั่วอเมริกาในช่วงแรกของทศวรรษหลังปี 2503 ได้ ผู้กำหนดนโยบายคิดว่าสามารถเร่งเครื่องเศรษฐกิจโดยลดการว่างงานลงให้ได้ 2% แลกกับการปล่อยเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเป็น 3% ในภาวะคลาดแรงงานตึงตัว

บริษัทหลายแห่งในสหรัฐปลอบขวัญคนงานด้วยการเสนอค่าจ้างเพิ่มขึ้นจากนั้นบริษัทส่งผ่านต้นทุนไปที่ราคาสินค้าทำให้แพงขึ้น เป็นการตบตาคนงานด้วยการเพิ่มค่าจ้างแท้จริงสูงตาม เช่นเดียวกับบรรดาผู้กำหนดนโยบายสามารถดึงอัตราว่างงานให้ลดลงได้ด้วยการใช้วิธีเดียวกัน

เฟลฟ์มองวิธีคิดของฟิลลิปส์ เคิร์ฟ ด้วยความเห็นขัดแย้งว่า มนุษย์มีความคิดและความคาดหวัง เพราะในที่สุดคนงานจะยังเรียกร้องค่าจ้างสูงขึ้นเพื่อชดเชยต้นทุนค่าครอบชีพสูงขึ้น ซึ่งคนงานอาจถูกลวงไปอีกนานตราบเท่าที่เงินเฟ้อยังคงอยู่เหนือการคาดเดาในสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น

การสร้างดุลยภาพอย่างสม่ำเสมอซึ่งอธิบายได้โดยฟิลลิปส์ เคิร์ฟ จึงเป็นภาพลวงตาที่อันตราย เพราะเฟลฟ์เชื่อเสมอว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวมีดุลยภาพได้ต่อเมื่อความคาดหวังของคนงานบรรลุผลเป็นที่พอใจ ราคาสินค้าเป็นไปตามคาดการณ์ และไม่สร้างภาพลวงด้วยการขายสินค้าราคาแพงให้คนงานหรือผู้ใช้แรงงานอีกต่อไป

แต่การมีดุลยภาพไม่ได้หมายถึงความสามารถจ้างงานแรงงานได้ทั้งหมด เฟลฟ์แย้งว่าเงินเฟ้อจะไม่ได้รับการแก้ไขจนกว่าการว่างงานเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตราเป็นไปตามธรรมชาติ (Natural Rate) คือปล่อยพนักงานบางส่วนตกงานบ้าง

เฟลฟ์มุ่งมั่นจะอธิบายเพื่อให้หายสงสัย แต่ผลงานของเขาแย้งว่า ปัญหาการว่างงานเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อกดดันแรงงานบ้าง เพื่อให้แน่ใจว่าคนงานมีความภักดีต่อบริษัทและมีความพยายามที่จะทำตามหน้าที่ในตำแหน่งงาน ในอัตราค่าจ้างที่บริษัทสามารถชำระเงินค่าตอบแทนได้

“ธรรมชาติ” ไม่ได้หมายความว่าดีที่สุดหรือพอใจที่สุด สิ่งที่เฟลฟ์เขียนถึงมีความหมายมาตั้งแต่ในอดีตว่า ธรรมชาติไม่อ่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปตามการแทรกแซงของมนุษย์ หรือไม่ได้หมายถึงความพยายามของธนาคารกลางที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติ

บรรดานักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงนักศึกษาที่เรียนกับเฟลฟ์ ปกติแล้วจะกำหนดอัตราธรรมชาติให้เคลื่อนที่ไปอย่างช้าๆ ด้วยความพยายามประเมินอัตราธรรมชาติ โดยไม่เปลี่ยนแปลงหรือใส่ใจว่าข้อตกลงที่ได้ต้องดีเลิส

ในทางตรงกันข้าง เฟลฟ์กลับหนักใจที่จะหาทางอธิบายเรื่องความผันผวนและแนะนำวิธีการต่างๆ ที่จะปรับลดความผันผวนในหนังสือของเฟลฟ์เรื่อง “Structural Slumps” ตีพิมพ์ในปี 2537 มีความพยายามและมุ่งมั่นที่จะหาทฤษฎีกว้างๆ ดูอัตราธรรมชาติของการว่างงานว่ามีอะไรบ้างและเกี่ยวข้องกันอย่างไรบ้าง

ปัจจัยบางตัวที่เฟลฟ์นำมาพิจารณาเป็นเรื่องผลประโยชน์ที่ได้รับจากการตกงาน ซึ่งมีความสำคัญหรือภาษีต้องจ่าย ล้วนเป็นปัจจัยที่ได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง

เฟลฟ์และฌอง ปอล ฟิตุสซี เพื่อนร่วมอาชีพชาวฝรั่งเศสได้ตำหนิปัญหาการว่างงานมากขึ้นในยุโรปช่วงทศวรรษหลังปี 2523 ว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขาดดุลงบประมาณในสมัยที่โรนัลด์ เรแกน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ซึ่งปัญหาขยายวงมาจากสหรัฐและส่งผลกระทบกว้างทำให้การจ้างงานทั่วโลกหยุดชะงักตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา

สื่อมวลชนสหรัฐมองว่า รางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์หลุดลอยไปจากมือนักเศรษฐศาสตร์ที่สมควรได้รับอย่างเฟลฟ์ แต่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ชื่อของเขาก็ไปปรากฏอยู่ในบัญชีคัดเลือกของกรรมการผู้ตัดสิน ในที่สุดเฟลฟ์ได้รับเกียรติแห่งความกล้าหาญ ในการเป็นผู้สร้างทฤษฎีที่ให้ความสำคัญต่อการสร้างเศรษฐกิจสมดุลระหว่างผลประโยชน์กับแนวคิดปล่อยให้การว่างงานกับเงินเฟ้ออยู่ในอัตราที่เป็นไปตามธรรมชาติ


ที่มา หนังสืมพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2549

เนื้อหาทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ – All contents are copyright of Nation Multimedia Group. All Rights Reserved.

ข้อมูลเพิ่มเติม