สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสุพรรณบุรี จัดสัมมนาเรื่อง “ภาษาถิ่น ภาษาไทย” ที่หอสมุดแห่งชาติจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีนักวิชาการ ครู อาจารย์ และศิลปินแห่งชาติเข้าร่วม “มติชน” เห็นว่ามีสาระสำคัญจึงนำมาเสนอ

– เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์
“ปัญหาวิกฤตทางภาษา เกิดจากความหลากหลายทางภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศที่ถาโถมเข้ามาครอบงำภาษาถิ่นผ่านสื่อมวลชน อย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้มีการบัญญัติคำศัพท์ใหม่ขึ้นมาใช้ในการสื่อสาร และด้วยความที่เด็กและเยาวชนอ่านหนังสือกันน้อยลง ทำให้คำศัพท์ในคลังสมองจึงมีน้อยตามไปด้วย ดังนั้น คำที่บัญญัติขึ้นมาจึงเป็นคำที่ฉาบฉวย เช่น คำว่า แบบว่า ประมาณนั้น เป็นไรที่ เป็นต้น ซึ่งผลที่ตามมาคือคำศัพท์สุพรรณเก่าๆ สูญหายไป เช่น คำว่าพอง หมายความว่า สุก นอกจากนี้ ปราชญ์ท้องถิ่นยังขาดการบัญญัติศัพท์ที่ทันสมัยมาทดแทน คำศัพท์ที่สูญหายไป และการใช้ภาษาในการสื่อสารจึงเป็นลักษณะรากลอยตามกระแส และขาดรากร่วมทางวัฒนธรรม”
“ถึงเวลาแล้วที่ควรให้ความสำคัญกับการ ใช้ภาษาถิ่น โดยเฉพาะการออกสำเนียงเฉพาะถิ่นของสุพรรณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ แต่ขณะนี้เด็กและเยาวชนอายที่จะพูดเหน่อแบบสุพรรณ สาเหตุหนึ่งเกิดจากกลัวถูกล้อเลียน จึงต้องรวบรวมคำศัพท์สุพรรณที่เลิกใช้มาเป็นองค์ความรู้ประกอบการเรียนการ สอน เพื่อให้เด็กและเยาวชนได้ศึกษาและนำไปใช้ทดแทนการบัญญัติคำศัพท์ใหม่ๆ ที่ฉาบฉวย ที่สำคัญกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ควรกระตุ้นให้นักเรียนรักภาษาไทยและภาษาถิ่น โดยรื้อฟื้นการท่องจำบทอาขยานในโรงเรียนมาใช้ เริ่มจากบทหลักที่บังคับให้ทุกคนท่องจำ บทรองที่นำเอาบทประพันธ์ภาษาถิ่นให้นักเรียนท่องจำ และบทเลือก โดยนำบทประพันธ์ที่นักเรียนแต่งมาท่อง ผมเชื่อว่าจะทำให้เด็กรักภาษาไทยมากขึ้น เพราะผมเคยประสบมาด้วยตัวเองแล้ว”
– สมบัติ ศิริจันดา ครูภาษาไทยดีเด่น จ.สุพรรณบุรี
“ขณะนี้เด็กและเยาวชนเข้าใจว่าภาษาของตนเองไม่มีความสำคัญ ไม่ไพเราะ หรือผิดเพี้ยนไปจากแบบแผน หรือมาตรฐาน เมื่อยึดภาษาเมืองหลวงเป็นหลัก ดังนั้น ทุกคนจึงพยายามพูดให้เหมือนภาษาเมืองหลวง และไม่กล้าพูดสนทนากันด้วยภาษาถิ่นตนเอง และกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเชย หรือพูดเหน่อ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงมาก ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันอนุรักษ์ภาษาถิ่นไว้ ก่อนที่ภาษาถิ่นจะตายหรือสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย”
– ศิวกานท์ ปทุมสูติ นักวิชาการอิสระ
“ต้องยอมรับว่าภาษาถิ่นไม่ได้ตายจากสังคม เพียงแต่ขาดการส่งเสริมการใช้ภาษาถิ่น จึงต้องเพิ่มกิจกรรมให้เด็กและเยาวชนได้รู้สึกภาคภูมิใจในภาษาถิ่น ที่สำคัญถ้าต้องการให้เด็กและเยาวชนรักษาถิ่น พ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างให้ลูกได้ ที่สำคัญครูอาจารย์ต้องทำให้เด็กใช้ภาษาถิ่นในชีวิตประจำวัน โดยส่งเสริมให้เด็กร้องเพลงภาษาถิ่น นำภาษาถิ่นไปสอดแทรกในบทเรียนหรือบทเพลงต่างๆ เพื่อให้เด็กซึมซับถึงแก่นแท้ของภาษาถิ่น รู้สึกภาคภูมิใจ และไม่ว่าจะอาศัยอยู่ที่ไหนๆ จะไม่อายที่จะใช้ภาษาถิ่นในการสื่อสาร”
– สุวัฒนา เลี่ยมประวัติ อาจารย์ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
“ดิฉันเห็นว่าต้องมีการศึกษาวิจัยเจาะลึกเรื่องภาษาถิ่นของเด็กและเยาวชนให้มาก ขึ้น โดยเฉพาะการศึกษาที่มาที่ไปในการใช้ภาษาของเด็กและเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาระบบเสียง หรือสำเนียงของภาษา ซึ่งจะส่งผลให้ทราบจุดบกพร่องการใช้ภาษาถิ่น และนำมาแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด แต่ขณะนี้งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้ภาษาถิ่นมีน้อยมาก เพราะไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ”
หน้า 27
ที่มา หนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2550