พระราชดำรัสในหลวง 4 ธ.ค. 47

เมื่อเวลา 16.20 น.วานนี้ (4 ธ.ค.) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯลง ณ ศาลาดุสิดาลัย พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะรัฐมนตรีและคู่สมรส รวมทั้งคณะบุคคลต่างๆ เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลพระกรุณาถวายพระพรชัยมงคลในนามผู้เข้าเฝ้าฯทั้งหมด

จากนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำรัสความว่า “ขอขอบใจท่านทั้งหลายที่มาในวันนี้ และขอบใจนายกฯ ที่ได้กล่าวคำอวยพร ทั้งได้สรุปการกระทำในระยะ 50 กว่าปี ซึ่งขอขอบใจที่ไม่ต้องเล่าให้ท่านฟังว่าทำอะไร เพราะว่าท่านได้สรุปอย่างดี

อีกอย่างที่ท่านไม่ได้พูด ที่ฟังวงดนตรีดุริยางค์กองทัพเรือได้บรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ท่านไม่ได้พูดถึง ความจริงดนตรีของกองทัพเรือได้ฟันฝ่าอุปสรรคมามาก จำได้ว่า เมื่อ 50 ปี 40 กว่าปี ได้มีการแสดงดนตรีทุกวันพุธที่พระที่นั่งอัมพรฯ และมีพวกดนตรีต่างๆ ได้เล่น ลองไปฟังทนไม่ไหว เพราะมีอะไรที่ขัดหูอยู่เรื่อย ก็เลยลุกไปบอกกับผู้ที่อำนวยเพลงว่า ได้เทียบเสียงหรือเปล่า ท่านผู้อำนวยเพลงบอกว่า เทียบเสียงแล้ว จึงขอให้เทียบอีก เขาก็เทียบได้ เทียบได้ดี ฟังไม่ขัดหู

พอให้เล่นอีก เล่นไปเล่นมา เอ๊ะ…ขัดหูอีก ก็เลยลุกเดินไปในวงให้เขาเล่นไป เล่นไปๆ เจอซอนั่น มันเพี้ยน แล้วไม่ทราบทำไมเพี้ยนได้ เลยคิดว่ามันเพี้ยนเพราะเล่นบันไดเสียงไทย ไม่ได้เล่นบันไดเสียงสากล ก็เลยพยายามให้เขาเทียบเสียงให้ดีที่สุด ก็ดีขึ้น เพราะว่าการเทียบเสียงนั้นมันยาก ยากที่ต้องเทียบหูด้วย ต้องเทียบหูแบบไทย เพราะผู้ที่เล่นดนตรีในวงของทุกๆ วงในเวลานั้น มีเวลาว่างก็ต้องไปเล่น โดยมากเป็นวงเล็กๆ เขาเล่นรำวง ซึ่งรำวง ฆ้องวงต้องเทียบเสียงแบบบันไดเสียงไทย เขาก็เคยชิน

พอมาเล่นเพลงสากลด้วยบันไดเสียงไทย เลยขัดหู ถ้าเล่นด้วยบันไดเสียงไทยล้วนก็ยังไม่เป็นไร แต่บางคนก็เล่นบันไดเสียงสากล บางคนก็แบบไทย อันนี้เลยบอกว่า พยายามเวลามาเล่นเพลงสากลขอให้ลืมรำวง เขาก็ทำได้ดีขึ้นทุกที เล่นรำวง และก็ไปเล่นเพลงสากล ก็ลดลงไป

มาทีหลัง ในวงที่เราเล่น พวกเพื่อนๆ เล่น เขาก็เล่นรำวงเหมือนกัน ก็เลยบอกว่า ถ้าเล่นรำวงขอให้เล่นรำวงที่ถูกต้อง ที่เป็นบันไดเสียงไทย ไม่สำเร็จ เขาเล่นรำวงด้วยบันไดเสียงสากล แล้วรำวงก็เพี้ยนผิด

มาถึงเมื่อเดือนที่แล้ว มีนักดนตรีมาจากอเมริกา เป็นดนตรีที่เขาเรียกว่าแบบนิวออร์ลีน เป็นต้นกำเนิดของเพลงแจ๊ส เขามาเราก็เล่นกับเขา เล่นไป เราก็เล่นสำเนียงรำวงไป เราถามเขารู้ไหมว่าเล่นรำวง เขาบอกเขารู้ เขาบอกว่าหูเขาดี เขารู้ว่าเป็นเพลงรำวง เขาไม่รู้จักรำวง แต่เขาบอกว่า เมื่อเขาไปญี่ปุ่น เขาก็ไปเล่นเพลงแจ๊สแบบญี่ปุ่น แล้วญี่ปุ่นเขามีนักเล่นดนตรีที่เก่งสำหรับแจ๊ส แต่ว่าเราก็อดไม่ได้ที่จะฟังเขา เขาเล่นสักเดี๋ยว ค่อนข้างจะญี่ปุ่น ก็เลยบอกว่านี่ล่ะไทย คนไทยเล่นเพลงแจ๊ส ก็เป็นเพลงแบบไทย แบบบันไดเสียงไทย เขาก็สนใจ

ตอนนี้เขากลับไป กลับบ้านแล้ว เข้าใจว่าเขาจะไปศึกษาแจ๊สแบบรำวง แจ๊สแบบไทย คราวหน้าเขามาเขาบอกเขาจะเล่น เล่นเพลงแจ๊สแบบนิวออร์ลีนบางกอก ถ้าเขาเล่นอย่างนั้นแล้วเราก็ภูมิใจได้ว่า ทำให้เขาฟังเพลงไทยเป็น เขาเก่ง พวกนี้หูเขาดี เขาเล่นด้วยหู เขาไม่ได้เล่นด้วยตา เขาไม่ได้อ่านโน้ต เขาเล่นด้วยหู เวลาเราไปเล่นกับเขาเราก็ต้องเล่นด้วยหู ไม่ได้เล่นด้วยตา ก็ดูเขาก็สนุกดี

นี่เรามาพูดถึงเรื่องการปฏิบัติเกี่ยวข้องกับศิลปะ ซึ่งแจ๊สนี่ก็เป็นศิลปะอย่างหนึ่ง บางคนเขาไม่เห็นว่าแจ๊ส โดยเฉพาะแจ๊สแบบนิวออร์ลีนนี้เป็นศิลปะ แต่เราก็เรียกได้ว่าเป็นศิลปะ เพราะว่าดนตรีนี่เป็นประวัติศาสตร์ของชาติบ้านเมือง ชาติบ้านเมืองใดมีดนตรี มีสำเนียงดนตรี เพลงดนตรี เครื่องดนตรีที่เป็นของตนเอง นั่นล่ะน่าชื่นใจ

อย่างของไทยเรา เรามีเครื่องดนตรีของเรา ซึ่งคล้ายกับของจีนบ้าง คล้ายของอินเดียบ้าง คล้ายของฝรั่งบ้าง แต่ว่าเป็นเพลงและเป็นเครื่องดนตรีไทยแท้ๆ ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของชาติบ้านเมือง อย่างเดียวกับเราพูดภาษาไทย เป็นภาษาไทย ไม่ได้เป็นฝรั่ง ไม่ใช่เป็นภาษาต่างประเทศ แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราใช้ภาษาต่างประเทศมาก ไม่ใช่แซม มานำหน้ามากมาย จนกระทั่งบางทีฟังแล้วไม่รู้เรื่อง แต่ว่าถ้าใช้ภาษาต่างประเทศมา ก็ควรจะแปลให้ด้วย ถ้าเราพูดภาษาไทยแบบใช้คำภาษาฝรั่งก็ต้องให้แปล เพราะเราโง่ ไม่เข้าใจ แต่นานๆ ไปก็เข้าใจ

เดี๋ยวนี้การปกครองก็ใช้แต่คำต่างประเทศ ท่านก็เป็น ท่านเป็นซีอีโอ เวลานี้อายุมากขึ้น ความจำมันลดลงไป ซีอีโอมาจากอะไร เลยไม่รู้ว่าท่านจะปกครองอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้ชักเคยชินว่าท่านปกครองแบบซีอีโอ

แต่ว่าวันนั้นที่ซีอีโอมา ท่านรองนายกฯมา ท่านมาบอกว่า ถามว่าพระเจ้าอยู่หัวเป็นอะไร ท่านก็บอกว่าเป็นซีอีโอ โอ้…เราก็ต้องเข้าใจสิ เราเป็นซีอีโอ ก็เลยเข้าใจว่าเราเป็นนายใหญ่อีกคนหนึ่ง ก็ต้องคัดค้าน คัดค้านว่าไม่ใช่ เราไม่ใช่เป็นนายใหญ่ รัฐธรรมนูญยังบอกว่าพระมหากษัตริย์ไม่เป็นนายใหญ่ เป็นมหา ใหญ่โต กษัตริย์ นักรบใหญ่โต แต่ก็ไม่ได้เป็น เป็นจอมทัพ ก็ยังเป็นมหากษัตริย์ เป็นซีอีโอ ซีอีโอของกองทัพ เราก็เข้าใจไปเลยเถิดไปเรื่อยๆ ซึ่งก็ขอโทษด้วย

ต้องล้อท่านรองนายกฯว่า ท่านก็เป็นซีอีโอใหญ่ ใหญ่ที่สุด ท่านรับผิดชอบหมด ลงท้ายฟังไปฟังมา ตอนนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดซีอีโอมา บอกว่า การทำงานทำการเป็นยังไง ซีอีโอนี่ เขาบอกสบายมาก ถ้ามีอะไรก็ให้ปลัดจังหวัดเป็นผู้สั่งการ ท่านนายกฯว่าอย่างนั้น ก็เลยปลงเหมือนกันว่าซีอีโอนี่ดีเหมือนกัน ถ้าเราเป็นซีอีโอเราก็โยนให้ท่านรองนายกฯ ท่านรองนายกฯทำอะไร คนก็ว่าท่านรองนายกฯ ซึ่งอย่างนี้อะไรๆ ก็ว่าท่านรองนายกฯ

แต่เวลาฟังข่าว ท่านรองนายกฯทำไอ้โน่นไอ้นี่ แล้วทีหลังก็รองนายกฯไหน เมื่อเขาพูดตำแหน่งก่อน แล้วเสร็จแล้วถึงอ๋อ…ท่านรองนายกฯ พล.อ.ชวลิต ตอนแรกก็รู้กันแล้วท่านรองนายกฯ รองนายกฯทางข้างหลังตกใจ ตกใจแล้วก็สั่นสะท้านว่านี่จะไปว่าใคร แท้จริงเราก็พูดถึงรองนายกฯ ชวลิต ถ้าเป็นรองนายกฯอื่นๆ ก็สบายใจ แต่เดี๋ยวนี้รองนายกฯมีมาก เมื่อมีมากก็ลงท้ายรับผิดชอบ แจกจ่ายกัน ฟังข่าวก็บอกว่า รองนายกฯนั้นๆ ทำ

เดี๋ยวนี้ก็ฟังข่าว ฟังวิทยุ มีรายการอันเดียวที่จะต้องฟัง คือ นายกฯ พูดกับประชาชน คุยกับประชาชน คุยๆๆๆ เขาบอกว่าคุย 1 ชั่วโมง เราก็ได้ยิน โอ้…นายกฯมาแล้วเราต้องฟัง ฟังไปฟังมาเราหลับ หลับไปหลับมาเลยต้องมาคอยตอนบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง ได้อีกชั่วโมง ทีนี้ฟังไปฟังมา วันนี้ได้ความรู้ เพราะว่าท่านบอกว่า ท่านไม่อ่านหนังสือมากนัก หนังสือดีต้องอ่านหนังสือเพื่อที่จะให้มีความรู้ แล้วท่านบอกว่า ถึงจะดีต้องไปพบกับคน คุยกับคน ได้ความรู้ ซึ่งก็จริง

เราฟังเวลาท่านนายกฯมา ก็ฟังนายกฯ ก็ได้ความรู้เยอะ วันนี้ก็ได้ความรู้ว่า ท่านฟังคนที่มา ได้ความรู้ในการปฏิบัติงาน เพราะฉะนั้นเวลาท่านนายกฯมาก็ดีใจ ท่านพูดมาก ท่านก็พูดเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ เราก็ได้ความรู้ ที่เห็นด้วยคือว่า ถ้าเราฟังคนที่มีความรู้ เราก็ได้ความรู้ ไม่ใช่ความรู้ที่จะมาสอนคนโน้นคนนี้ได้ แต่ได้ความรู้ที่จะปฏิบัติได้ เมื่อปฏิบัติอย่างนี้แล้วก็ดี เราก็สามารถที่จะปฏิบัติงาน ถ้าฟังจากคนที่เก่ง ก็ฟัง ท่านก็พูดอะไรต่างๆ พูดไปเรื่อย เราก็ได้ความรู้ ไม่ต้องอ่านหนังสือ ถ้าฟังคนที่มีความรู้แล้วก็มาย่อย ท่านก็บอกว่า ฟังคนที่มีความรู้ทำให้สามารถปฏิบัติงาน สามารถทำอะไรต่ออะไรได้ ซึ่งก็เห็นเป็นความจริง

ถ้าเราฟังคนแล้วก็ฟังจริงๆ แต่ต้องพิจารณา อันนี้เป็นข้อสำคัญ ถ้าฟัง…ฟังคนโน้นคนนี้ คนไหนที่มาจากอเมริกาใต้ พูดใหญ่ว่าต้องปฏิบัติอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่เห็นด้วยสักอัน เราก็ต้องคิดว่าทำไมเราเกิดไม่เห็นด้วย บางทีคนที่มีชื่อเสียงมาพูด เราฟังแล้วไม่เข้าเรื่อง ไม่ได้มีประโยชน์ แต่ประโยชน์มีว่าท่านเก่งที่ทำให้คนเชื่อ ถ้าคนมาพูดแล้วเราฟัง แล้วก็เชื่อตามไปหมด ไม่ดี เพราะว่าไม่ได้พิจารณา ต้องพิจารณาว่าที่ท่านพูดนั้นถูกต้องหรือไม่ ถ้าพูดถูกต้องปฏิบัติได้ เราก็ดี เราก็ได้ประโยชน์ ส่วนรวมก็ได้ประโยชน์ เพราะว่าเราเอาความรู้ที่ท่านพูดไปปฏิบัติต่อ

ดังนั้น ที่ฟังนายกฯ พูดกับประชาชน ก็ฟังท่านว่าท่านพูด หลายอย่างที่ท่านพูด แล้วพูดถึงว่าเด็กๆ ต้องฟัง เด็กๆ ต้องเรียน ถ้าเรียนแล้วประเทศชาติจะดี เดี๋ยวนี้เขาว่าเด็กๆ ไม่เรียน เด็กๆ แม้แต่ถึงขั้นมหาวิทยาลัย ใช้คำว่าไม่ได้ความ เมื่อไม่ได้ความ อนาคตของชาติอยู่ไหน คือเด็กไม่ฟัง หรือฟัง แต่ฟังไม่เข้าใจ ฟังไม่เข้าใจแทนที่จะปฏิบัติสร้างสรรค์ต่อไป ก็ไปเข้าดิสโก้เธค ไปฟังเพลง ไปฟังเพลงที่…ความจริงก็ไม่ใช่เพลงอะไรดี ที่เป็นเพลงที่ไม่ได้เรื่อง ทำให้หูเสีย

หูเสียไม่ใช่ว่าคนที่ฟังหูสูงหูต่ำ แต่หูไม่ได้ยิน หูตึง คนที่ไปฟังเพลงในดิสโก้เธคหูตึงทั้งนั้น ถ้าใครเป็นหมอที่นี่ หมอหู ไปตรวจก็ขอยืนยันว่าเด็กสมัยนี้ ถ้าไปตรวจหู หูเสียมากกว่าเด็กสมัยก่อน แม้จะเด็กสมัยท่านนายกฯ ก็หูตึงกว่าเด็กสมัยพระเจ้าอยู่หัว นี่เรา 76 ปี 364 วัน ก็เกือบจะ 77 แล้ว 77 เล่นกับนักดนตรีนิวออร์ลีน นักดนตรีนิวออร์ลีนนั้น คนที่แก่ที่สุดก็ 66 แล้วก็หูตึง ฟังไม่ค่อยได้ ต้องเข้าไปใกล้ เข้าไปคุยกับเขา เราจะบอกว่า ยูน่ะอายุ 66 ไออายุ 77 นะ เขาก็โอ้ๆๆ ฟังรู้เรื่อง เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง เพราะว่าหูตึง

อย่างนี้ท่านนายกรัฐมนตรีก็หูตึง ยิ้มหมายความว่าได้ยินที่พูด เพราะว่าคนที่หูตึง เวลานินทาจะได้ยิน อันนี้เป็นยังไงไม่ทราบนะ คนที่เป็นผู้ใหญ่ เวลาพูดอะไร เรื่องอะไรไม่ได้ยิน แต่เวลานินทา ท่านได้ยิน ได้ยินนู่น องคมนตรีข้างหลังหูตึงๆ ไม่รู้ไม่เข้าใจว่ารับสั่งว่าอะไร ยิ้ม รู้ว่าพูดอะไร ก็แปลก

แต่ว่าข้อสำคัญคนที่เด็กๆ อายุ 15-16 ปี ไปให้แพทย์ ไม่ต้องเรียกเงิน 30 บาท ไปหาคนอายุ 15-16 ปีให้มาตรวจหู หูตึงทั้งนั้น เราไปเมื่อไม่กี่เดือน ได้ตรวจตา ตรวจหู ตรวจอะไรต่างๆ เขาบอกดีมาก ตรวจหัวใจบอกดีมาก เขาดีมากทั้งนั้น แพทย์มาจากเมืองนอก มาตรวจก็บอกดีมาก ก็เลยสบายใจว่าเราสุขภาพดี แต่แท้จริงเราก็หูชักตึงเหมือนกัน แต่ไม่ตึงเท่าเด็ก

เพราะฉะนั้นถึงอยากให้มีโครงการ นู่นถ้าจะมี กระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วงสุขภาพเด็ก ก็น่าจะลองไปตรวจว่า หูของเด็ก คนอายุ 40 ก็เด็ก ลองดูคนอายุ 40 แต่ที่เป็นห่วงที่สุดอายุต่ำกว่า 20 ซึ่งไม่ควรจะตึง ตึงมาก ถ้าคนเราหูตึงตั้งแต่อายุ 15 ต่อไปจะเป็นยังไง และหูไม่มีการก้าวหน้าขึ้นมา นอกจากใส่เครื่อง ใส่เครื่องแล้วน่ารำคาญ แล้วลงท้ายก็ไม่ใส่เครื่อง แต่ถ้าใส่เครื่อง ก็เป็นการสิ้นเปลืองเงินสำหรับ 30 บาท ไม่ได้ เครื่องมันเกิน 30 บาท

ถ้าทุกคนที่นั่งอยู่ใส่หูกันหลายคน มันแพง งั้นก็ถ้าไม่อยากให้งบประมาณแผ่นดินเสียไป ต้องเสียทุกคน 30 บาท เนี่ย 22,000 คนเศษๆ ที่มาในวันนี้ คูณ 30 บาทเป็นเท่าไหร่ 600,000 บาท ก็ไม่เป็นไร ท่านมีงบพิเศษของท่าน แต่ว่า 600,000 นี่ต้องเป็นจากกระเป๋าราษฎร เพราะว่ากระเป๋าท่านนายกฯ เท่าไหร่ เครื่องนี้ราคาเป็นร้อย เป็นพัน งบประมาณกระทรวงสาธารณสุขเป็นเท่าไหร่ เหมือนกับว่างบประมาณจะหามาจากไหน แต่ท่านบอกว่าดีมาก เดี๋ยวนี้รายได้ประเทศขึ้นมากกว่าเก่า ถ้าใช้เฉพาะสำหรับปัญหาเรื่องเด็กหูตึง มันก็ต้องเสียของฝ่ายรัฐบาล เสียเป็นพันล้าน

แต่ค่าใช้จ่ายที่มากที่สุด ก็คือ คนที่หูตึงจะเรียนรู้หรือปฏิบัติงานยาก ยากที่สุด เพราะว่าคนที่หูตึงแม้จะได้เครื่อง มันไม่เหมือนคนที่หูไม่ตึงแล้วไม่ต้องใช้เครื่อง ประสิทธิภาพของคนที่หูดีเหนือประสิทธิภาพของคนที่หูตึง แม้จะมีเครื่องช่วยให้ฟังได้ อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่น่าจะแก้ไขหรือน่าจะระมัดระวังให้คนไทยในอนาคตมีหูที่ดีขึ้น มีหูที่ฟังได้ดี ไม่ใช่ว่าเป็นผู้เฒ่าถึงจะฟังไม่ได้ แต่ว่าเด็กๆ น่ะฟังไม่ได้ แต่ถ้าระมัดระวัง เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่าจะยากในการที่รณรงค์ให้เด็กหูดีขึ้น ยาก เพราะว่าเคยชิน

เดี๋ยวนี้วิธีแก้ไขของรัฐบาล ก็คือ ห้ามไม่ให้เข้าดิสโก้เธค ไม่ให้ไปฟังเพลง ไม่ให้สูบบุหรี่ ไอ้ไม่สูบบุหรี่นี่จะทำให้หูดี หรือหูไม่เสีย คนที่สูบบุหรี่มากๆ หูเสียมาก มีเหตุผลทำไมคนที่สูบบุหรี่หูเสีย เพราะว่าบุหรี่นี่ทำให้เส้นเลือดมันตีบ เมื่อเส้นเลือดตีบ หูก็เสีย เพราะว่าหู ตา เสียได้ง่าย เพราะว่าทำไม เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหูไปเลี้ยงตา เลี้ยงอวัยวะที่อ่อนไหวนั้น เส้นเลือดมันเล็ก ถ้าโดนบุหรี่ บุหรี่นี่ทำให้เส้นเลือดตีบ ตีบเลือดก็ไปไม่ได้ดี เลือดไปที่อวัยวะเหล่านั้นยาก ถ้าไปไม่ดีก็ทำให้อวัยวะเหล่านั้นด้อยสมรรถภาพ

เดี๋ยวนี้ก็ร้องโวยวายว่าห้ามสูบบุหรี่ ซึ่งปัจจุบันนี้บุหรี่ก็สูบกันน้อยลง เพราะว่าคนชักรู้ว่าสูบบุหรี่ไม่มีประโยชน์ แต่เดี๋ยวนี้เด็กๆ มีการสูบบุหรี่มากขึ้น มากกว่าก่อนอีก แต่ก่อนนี้เด็กๆ ยังไม่สูบ และโดยเฉพาะผู้หญิงสูบบุหรี่มาก แต่ก่อนนี้ก็กลัวว่าสูบบุหรี่จะทำให้ผิวเสีย ผิวเสียก็เพราะว่าเส้นเลือดมันไม่ดี อะไรก็ทำให้ผิวไม่ดี แต่สมัยใหม่นี่ เขาไม่กลัวแล้ว เพราะว่าผิวเสียก็ช่าง ก็ทาหน้า ทาหน้าก็เช้งเลย

ต้องหาทางแก้ไข จะห้ามไม่ให้ใช้เครื่องสำอาง ถ้าห้ามไม่ใช้เครื่องสำอางก็ประหยัดดีนะ ประหยัด สมัยก่อนเขาประแป้งก็สวยแล้ว ที่จริงก็สวย ถ้าประแป้งนิดเดียวไม่ต้องทาสีแดง แต่สมัยใหม่นี้เขาต้องทาสีแดง สีเขียวด้วย และปั้นจมูก ปั้นแก้ม ต้องทาสีต่างๆ ถึงเรียกว่าพวกนี้มาแต่งหน้าให้ เป็นพวกศิลปิน แต่ก็ดีทำให้พวกศิลปินนี้มีอาชีพ

ยังไงเนี่ยแขวะไปเรื่อยๆ ถ้าอยากแขวะนะ มันแขวะเป็นทอดๆๆๆๆ ไปเรื่อย อย่างนี้ท่านหัวร่อ แต่ต่อไปผู้ชายหัวร่อผู้หญิง กลับบ้านโดนเล่นงาน ทำไมหัวเราะ