Sadao Watanabe
ครั้งแรกในชีวิตจริงๆ กับการได้ชมการแสดงสดของนักแซกโซโฟนคนแรกที่ผมรู้จัก เขามาเมืองไทยหลายครั้งแล้ว เคยจัดให้มีการประชันกับต๋อง เทวัญ ทรัพย์แสนยากร และแต๋ง ภูษิต ไล้ทอง ผมได้ชมนิดหน่อยจากโทรทัศน์ เพราะไม่เป็นที่แพร่หลายมากนักสมัยนั้น
Sadao เดินนำนักดนตรีทุกคนขึ้น มือถือทั้ง Alto Saxophone และฟลู้ต ใช่แล้วครับเขาไม่ได้เป็นเพียงนักแซกโซโฟนระดับโลกเท่านั้น ฝีมือการเป่าฟลู้ต ก็มีให้ฟังอยู่เสมอในผลงานเพลงของเขา เริ่มบรรเลงด้วยเพลงจังหวะสนุกสนานสองเพลงติดต่อกัน นี่คือสำเนียงแซกโซโฟนสดๆ จากนักดนตรีในดวงใจของผม ทางเสียงของ Sadao เป็นแบบหวานนุ่น ไม่ดุดันจัดจ้าน แต่สนุก เอกลักษณ์ของเขาคือการเป่าเสียง Subtone ที่ให้เสียงที่นุ่มมากและยังมี Vibrato อยู่ในที เหมือนนักร้องใส่ลูกคออย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็เป็นการกล่าวทักทายผู้ชม และมีการแนะนำนักดนตรีในวง โดย 4 คนเป็นชาวญี่ปุ่นได้แก่มือเปียโน มือกีตาร์ มือเบส และมือกลอง ทั้งหมดนี้มาช่วยเล่นแบ๊คอัพให้ แถมยังมีมือเครื่องเคาะ (Percussion) จากเซเนกัล และจากอเมริกาที่ช่วยเหลืองานมาก่อน
ก่อนบรรเลงเพลงต่อไป Sadao ก็มีการเล่าถึงที่มาที่ไปของเพลงนั้นๆ นี่แหละครับที่เรียกว่าศิลปะเกิดจากแรงบันดาลใจ ไม่ได้เกิดจากโต๊ะทำงานและห้องอัดแบบเพลงกระป๋องบ้านเรา (มันสำเร็จรูปเกินไป) จนเขาเองก็ออกตัวขอโทษที่ภาษาอังกฤษไม่ค่อยแข็งแรง แต่ผมว่าเขาพูดรู้เรื่องน่ะ
Sadao เลือกใช้ไมโครโฟนเฉพาะที่ติดตั้งบนขาตั้งในระดับเดียวกับปากแตร แทนการใช้แบบที่เหน็บอยู่ที่เครื่อง นี่ก็เป็นเครื่องมือเฉพาะบุคคลเช่นเดียวกัน ทำให้การบรรเลงของเขาต้องยืนอยู่ประจำที่เท่านั้น แต่ในไม่ใช่ปัญหาอะไรหรอกครับ เพราะเพลงแจ๊สเปิดโอกาสให้ทุกคนในวงแสดงออกอย่างเป็นอิสระอยู่แล้ว (improvisation) คุณปู่ Sadao ของผมจะได้ไม่เหนื่อยมาก แต่ตลอดการแสดงพลังเขาก็ไม่มีตกเลยน่ะครับ
ต่อมาก็มีการแนะนำเครื่องดนตรีประจำชาติเซเนกัล เป็นกลองที่ดูแล้วเหมือนกลองยาวบ้านเรา แต่ตัวสั้นๆ มือเครื่องเคาะออกมาแสดงข้างหน้า พาเอาผู้ชมได้ร่วมสนุกกับจังหวะมันๆ จากการตีกลองนี้ ทำให้ผมนึกถึงเครื่องดนตรีไทย ที่น่าจะเอาลักษณะเสียงที่เป็นเอกลักษณ์มาผสมผสานกับดนตรีสากลมากขึ้น
การจับภาพการเล่นแซกโซโฟนขึ้นฉายบนจอขนาดยักษ์ นั้นยังช่วยให้ผมได้ศึกษาถึงวิธีการเล่นเครื่องนั้นอีกด้วย ไม่เพียงแค่การเก็บลม ผ่อนลม และเป่าลมจากปากเท่านั้น ยังรวมถึงการบรรจบพรมนิ้วไปบนเครื่องเพื่อให้ได้เสียงต่างๆ ออกมาด้วย บทเรียนแบบนี้หาได้ไม่ง่ายเท่าไหร่นัก
เวลาก็เดินมาถึงช่วงท้ายจนได้ เพลงจบลง นักดนตรีเดินลง ผู้ชมก็ลุกขึ้นอังกอร์เลยครับคราวนี้ แต่ผมยังนั่งอังกอร์อยู่ ไม่ยอมให้จากไปง่าย ครู่หนึ่ง Sadao และทุกคนก็กลับเข้าประจำที่ แล้วบรรแลงเพลงสนุกๆ เป็นการส่งท้าย คนที่ยืนอังกอร์ก็ยืนฟังไปด้วย บังคนข้างหลังไปด้วย ทำอะไรไม่ได้นอกจากพยายามฟัง และดูจากจอยักษ์ข้างเวทีแทน
แล้วการแสดงก็จบลงอย่างสมบูรณ์ เป็นไปตามแผนที่ผมวางไว้ จึงลุกขึ้นแล้วก็เดินออกจากงาน แยกกับพี่ชายผมที่หน้าประตู ไปขึ้นรถ แล้วก็กลับบ้าน โดยเสียงแซกโซโฟนของ Mindi Abair ก็บรรเลงส่งท้ายตามมา
ส่งท้าย
เสร็จสมอารมณ์หมายตามที่ต้องการไปแล้วครับ สำหรับ Bangkok Jazz Festival ไม่มีคำแนะนำสำหรับผู้จัดเท่าไหร่ ปีนี้แก้ปัญหาผู้ชมที่ชอบนั่งเก้าอี้ฟังโดยการขีดเส้นแบ่งเขตไว้ให้เลือกที่นั่งตามใจชอบด้านหลัง ทำให้ไม่มีมานั่งบังผู้ชมที่นั่งกันพื้นสนามหญ้า
กลุ่มของผู้ชมน่าสนใจครับบ้างก็เป็นคู่หนุ่มสาว บ้างพ่อแม่ก็พาลูกวัยกำลังซนมา มีทั้งฝรั่งต่างชาติและญี่ปุ่นครับ ผมชื่นชมครอบครัวที่พาลูกมาชม เพราะว่าเขาจะได้รู้จักกับศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักในชีวิตประจำวัน นี่จะเป็นการขัดเกลาจิตใจของเขาให้ละเอียดมากขึ้น โตขึ้นก็หวังว่าเขาจะเป็นคนดีของสังคม
แต่เรื่องน่ารำคาญนั่นไม่หมดไปเพราะยังมีคนบางคนที่หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบแล้วพ่นควันเผื่อแผ่ชาวบ้านโดยไม่ใยดีอะไร ไม่มีกฏเกณฑ์ห้ามไว้หรอกครับ แต่ผมสังเกตผู้คนรอบข้าง เมื่อได้กลิ่นแล้วก็จะหันไปหาต้นกลิ่น เมื่อพบก็จะมองด้วยสายตาเหยียดหยาม แต่เจ้าตัวก็ไม่เคยคิดจะสนใจอะไรอยู่แล้ว ฉันจะสูบใครจะทำไป มีเพียงครั้งเดียวระหว่างการแสดงของ Sadao Watanabe ที่มีผู้ชมคาดว่าเป็นหญิงชาวญี่ปุ่นจุดบุหรี่ขึ้นสูบส่งกลิ่นเหม็นประหลาดแบบที่ไม่ใช่บุหรี่ทั่วไปในบ้านเราไปทั่วในละแวกนั้น ใครได้กลิ่นก็ต่างพากันพัดปัดอากาศทิ้ง ครู่เดียวเท่านั้นก็มีชายชาวญี่ปุ่นจากอีกกลุ่มหนึ่งขอให้เธอหยุด เธอก็หยุดโดยดี
และอีกเรื่องหนึ่งก็คือการที่งานนี้เป็นงานเทศกาลผู้คนบางกลุ่มก็มาปิกนิกฟังเพลง สังสรรค์กันเป็นหมู่คณะบ้าง เป็นครอบครัวบ้าง ดื่มกินกันอย่างไม่มีหยุด และร้านค้าก็ขายปีกไก่ทอดได้เป็นล่ำเป็นสัน ทำให้ผู้คนต้องลุกขึ้นเดินไปซื้อเสบียงมาเพิ่มบ้าง เดินไปเข้าห้องน้ำบ้าง ตอนเดินไปก็บดบังการชมแล้ว ตอนเดินกลับก็หาที่นั่งของตัวเองไม่เจอ ก็ยืนหาเข้าไป ไม่สนใจว่าใครจะนั่วดูอยู่ตรงนั้น ผู้คนเดินกันขวักไขว่อย่างน่าเวียนหัวจริงๆ ครับ เพราะต่างก็ต้องเดินเลี้ยวไปมาตามทางที่พอจะเปิดให้เดินได้ เพื่อนก็เดินเฉียดหัวผมไปมาอยู่เป็นระยะ ต้องทำใจอย่างเดียวครับ แล้วก็จดจ่ออยู่กับการแสดงบนเวทีอย่างเดียวพอ แถมถ้ามีกลิ่นบุหรี่โชยการก็ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดจมูกเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป เป็นการฝึกสมาธิที่หาไม่ได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
สุดท้ายนี้ต้องของคุณพี่ชายที่แสนดีคุณณัฐวัฒน์ ฉายากุลสำหรับบัตร VIP อุปการคุณให้ได้เปิดสมอง เปลี่ยนบรรยากาศไปชมดนตรีบ้าง หลังจากที่ห่างหายการชมไปหลายปี
ข้อมูลสำคัญเพิ่มเติม