Nike Air Pegasus+ 26

ปล่อยให้อะไรต่อมิอะไรกัดกินเวลาไปเสียเนิ่นนาน ก็ได้เวลาต้องยื่นคำขาดให้ตัวเองเขียนเรื่องของรองเท้าคู่ใหม่เสียที จะได้เดินหน้าทำงานอื่นต่อไป ว่าแล้วก็ได้ฤกษ์ออกคำสั่งให้ตั้งสติและสมาธิเรียบเรียงให้เสร็จโดยพลัน

ว่าแต่ทำไมต้องซื้อรองเท้าใหม่อีก ราคารองเท้าคู่หนึ่งไม่ใช่ถูกๆ หรือว่าเงินทองเหลือเฟือเห็นรองเท้าสวยก็เลยซื้อมาใส่ จริงแล้วเจ้ารองเท้าคู่ที่สาม Nike Air Max Tailwind+ 2009 ก็มีคุณภาพดีสมราคา เพียงแต่เมื่อใช้วิ่งไประยะหนึ่งพื้นรองเท้าที่ต้องรองรับน้ำหนักและเสียดสีกับพื้นปูนก็จะสึกหรอไปตามเหตุปัจจัย แถมแนวการสึกหรอของพื้นรองเท้าค่อนไปทางข้างส้นเท้าด้านนอกของเท้าทั้งสองข้างเป็นหลัก เนื่องมาจากข้อเท้าบิดเข้าด้านใน และพื้นรองเท้าก็สึกไปเกินครึ่งแล้ว การวิ่งก็เริ่มส่งผลลบด้วยแรงสะท้อนกลับมาที่ข้อหัวเข่าทั้งสองข้างและกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างข้างกระดูกสันหลังด้านซ้าย เกิดเป็นอาการบาดเจ็บหลังการวิ่งอย่างต่อเนื่อง แม้จะพักแล้วหาย แต่ผลกระทบระยะยาวน่าจะไม่ดีเป็นแน่

เว็บไซต์ Nike+ ที่รวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ NikeRunning แล้วมีโปรแกรมช่วยให้การเลือกซื้อรองเท้าทำได้สะดวกกว่าเดิมมาก จะขาดก็เพียงการสั่งซื้อได้ทันทีเท่านั้น

ลองมาดูกัน

  

ขั้นตอนแรกคือเลือกเพศก่อน เพราะรองเท้าสำหรับผู้ชายและผู้หญิงนั้นมีจำหน่ายแยกกัน

  

ต่อมาจึงเลือกว่าพื้นผิวที่วิ่งไปนั้นเป็นแบบไหน เป็นพื้นดิน (Trail) พื้นถนน (Road) หรือพื้นของลู่วิ่ง (Track)

  

แล้วเลือกรูปทรงของฝ่าเท้าว่ามีความโค้ง (Arch) มากน้อยแค่ไหน บางคนเท้าแบน บางคนเท้าโก่ง ยิ่งคนที่น้ำหนักมากมีแนวโน้มที่จะมีเท้าแบนไปด้วย เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วก็เคยเข้ารับการทดสอบและพบว่าตัวเองเท้าแบนแม้ทุกวันนี้จะโค้งปกติแล้วก็ตาม ดูได้จากเวลาเดินเท้าเปียกไปบนพื้นแห้งๆ แล้วสังเกตรูปฝ่าเท้าบนพื้น

  

สิ่งสำคัญอีกประการคือลักษณะของข้อเท้า (Stride) ว่าบิดออกด้านนอก (Overpronation) หรือบิดเข้าด้านใน (Underpronation) หรือไม่ การบิดของข้อเท้ามีผลต่อการทรงตัว และแน่นอนว่ามีผลต่อทิศทางการสึกหรอของพื้นรองเท้า

  

ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นรุ่นรองเท้าที่แนะนำว่าเหมาะสมกับคนเลือก Nike LunarGlide+ เป็นตัวเลือกแรกของการเลือกซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่

รองเท้าแนะนำคู่นี้เห็นในเมืองไทยเป็นครั้งแรกที่ร้าน Nike Shop ในห้าง Central World ราชประสงค์ ตั้งแต่วันแม่ปีที่แล้ว เป็นรองเท้าที่สวยมาก จนถึงวันที่ลองค้นหารองเท้าด้วยโปรแกรมของ NikeRunning ก็ยังมีการแนะนำรองเท้ารุ่นนี้อยู่ ช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาก็ได้ลองเดินไปดูที่แผนกรองเท้ากีฬาของห้างต่างๆ ดูแล้ว ก็พบรองเท้ารุ่นนี้บ้าง พบรุ่นใหม่ที่เพิ่งเข้ามาบ้าง เป็นการเก็บข้อมูลไปในตัวก่อนการตัดสินใจ

แม้ว่าช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคมที่ผ่านมาจะมีปัญหาสุขภาพจนไม่สามารถวิ่งได้เต็มที่นัก แต่ก็วิ่งจนมาถึงหลักชัยสำคัญที่ 6000KM เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เคยตั้งใจเอาไว้ก่อนว่าจะเปลี่ยนรองเท้าเมื่อใช้คู่นั้นวิ่งจนครบสองพันกิโลเมตร ก็เหลืออีกราวหนึ่งร้อยยี่สิบกิโล จะได้เวลาเปลี่ยนรองเท้าแล้ว ช่วงนั้นก็ฝืนใช้คู่เดิมไปก่อน

ตั้งใจเอาไว้ว่าเริ่มเดือนมิถุนายนก็จะเปลี่ยนคู่ จึงต้องหาซื้อเตรียมเอาไว้ก่อน สะดวกที่สุดในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา ห้าง Central ปิ่นเกล้าเป็นที่หมาย

ด้วยตัวเลือก Nike LunarGlide+ ในใจเป็นลำดับแรก รองเท้ารุ่นใหม่ๆ ก็มีให้เลือกอีกมากมาย น่าเสียดายที่ขนาด 11 หมดเสียแล้ว ให้พนักงานขายลองตรวจสอบดูว่าสาขาอื่นยังพอมีเหลือบ้างไหม ก็ได้คำตอบว่ายังเหลืออีกเพียงคู่เดียวในห้างอีกมุมเมืองหนึ่ง ไม่น่าแปลกใจหรอกเพราะรองเท้ารุ่นนี้ออกสู่ตลาดมานานมากแล้ว แถมสภาพของรองเท้าที่เหลือก็อาจจะเก่าจนไม่น่าสนใจอีกแล้วก็ได้ จึงสอบถามข้อมูลของรองเท้าคู่อื่นๆ ดูเพื่อประกอบการตัดสินใจ

LunarGlide+ เป็นรองเท้าในหมวด Lightweight เช่นเดียวกับ Zoom Victory+ ที่ซื้อมาใช้เป็นคู่ที่สองและปลดระวางไปอย่างรวดเร็วกลายมาเป็นรองเท้าสำหรับชีวิตปกติในทุกวันนี้ จึงมีความกังวลอยู่เหมือนกันว่าจะสามารถรับน้ำหนักตัวได้ดีแค่ไหน ส่วนรองเท้าที่หมวด Stability รุ่นใหม่อย่าง Air Alaris 3+ ก็มาแล้ว แต่ก็ต้องพิจารณารองเท้าในหมวด Cushioning ก่อนเป็นพิเศษ เพราะการวิ่งระยะยาวต้องพึ่งชุดรองรับแรงกระแทกเป็นอย่างมาก

รองเท้าแนะนำในหมวดนี้ก็มี Air Max Tailwind 2 รุ่นต่อจาก Air Max Tailwind+ 2009 ที่ใช้อยู่นี่ และรองเท้าในหมวดนี้ส่วนใหญ่จะมีพื้นแบบ Air ที่บรรจุอากาศเอาไว้ช่วยรองรับแรงกระแทกสังเกตได้ชัดเจนจากช่องหน้าต่าง แต่เมื่อวิ่งไปจนพื้นสึกแล้วก็จะมีปัญหาเหมือนคู่ที่ใช้อยู่อีกเหมือนเดิม ความสนใจจึงมุ่งไปที่รองเท้ารุ่นที่มีพื้นเต็มแผ่นมากกว่า

ก็มาเหลือตัวเลือกอยู่เพียงสองรุ่นคือ Zoom Vomeo และ Air Pegasus ได้ยินชื่อมานาน ทั้งคู่เป็นพระเอกตลอดกาลของ Nike ที่ผลิตต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่นมาอย่างยาวนาน และปัจจัยประกอบการเลือกซื้อครั้งนี้ตัดสินกันที่ราคาที่ต้องจ่าย Zoom Vomeo อยู่ที่ห้าพันกว่า ส่วน Air Pegasus อยู่ที่ไม่ถึงสี่พันดี อย่างนี้เลือกได้ไม่ยากแล้ว

เมื่อพลิกดูและสอบถามพนักงานขายก็ต้องหยุดชะงักอีกเพราะรองเท้าขนาด 11 ขายหมดอีกแล้วแม้จะเป็นรุ่นใหม่ล่าสุด จึงต้องค้นหาต่อว่ายังพอมีเหลือที่ไหนบ้าง ดีที่หน้าร้านอีกสาขาด้านนอกของห้างที่กำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้มี Air Pegasus+ 26 ขนาด 11 สำหรับผู้ชาย พอดี ไม่ต้องออกผจญภัย แค่เดินมานิดหน่อยก็ได้ลองสวมดูแล้ว

แน่นอนว่าเตรียมใจไว้แล้วแต่แรกว่าอาจจะไม่ได้รองเท้าในใจที่ต้องการเช่นเดียวกับที่เกิดเมื่อปีที่แล้ว คราวนี้อย่างน้อยก็ได้รองเท้าที่สามารถรองรับน้ำหนักของคนอ้วนได้ดีก็พอใจแล้ว ทันทีที่ได้ลองสวมดูทั้งสองเท้าก็รู้สึกได้ถึงความสบายขณะสวมใส่ แต่เมื่อใส่วิ่งแล้วจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากัน จึงไม่รีรอที่จะเลือกคู่นี้มาเป็นรองเท้าคู่ที่สี่

Nike Air Pegasus+ 26


 
 

หลังจากที่ต้องซื้อรองเท้าที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน กลับมาถึงบ้านก็ต้องนั่งค้นข้อมูลเสียหน่อย แม้โปรแกรมช่วยเลือกรองเท้าจะไม่มีรุ่นนี้แนะนำเลย แต่ข้อมูลในเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของ Nike ก็บรรจุข้อมูลพร้อมให้เลือกอ่านแล้ว

รองเท้า Air Pegasus เป็นที่นิยมของนักวิ่งมากว่า 25 ปีแล้ว ด้วยคุณลักษณะเด่นด้านความทนทาน การรับน้ำหนักอย่างเป็นธรรมชาติและนักวิ่งก็พอใจในสมรรถนะ ตัวรองเท้าด้านบนช่วยให้สวมใส่ได้กระชับ การเคลื่อนไหวเป็นธรรมชาติและมั่นคง ภายในออกแบบมาให้มีพื้นที่สำหรับขยับหัวแม่เท้าขณะวิ่ง รักษาส้นเท้าและรองรับการบิดตัวของข้อเท้าออกด้านนอกขณะวิ่งได้เป็นอย่างดี

คุณสมบัติสำคัญของ Air Pegasus ตั้งแต่รุ่นแรกๆ ยังคงมีอยู่ครบถ้วนรวมไปถึงชั้น Air Sole เต็มทั้งพื้นรองเท้าเพื่อความสบายและเพื่อรับแรงกระแทกได้ตลอดการวิ่งที่ยาวนาน

สงสัยต้องติดตาม Air Pegasus ไปตลอดแล้วกระมัง

การเปลี่ยนผ่าน

  

สิ้นเดือนพฤษภาคมเป็นวันสุดท้ายของ Air Max Tailwind+ 2009 เป็นวันที่วิ่งสะสมระยะทางได้ถึง 6,114.14 กิโลเมตร

  

เมื่อเทียบกับวันสุดท้ายของ Zoom Victory+ ที่วิ่งได้ระยะทาง 4,120.71 กิโลเมตร

ก็คำนวณได้คร่าวๆ ว่ารองเท้าคู่นี้วิ่งได้เกือบครบสองพันกิโลเมตรแล้ว หย่อนไปไม่กี่กิโลเท่านั้นเอง ใช้เวลาประมาณสิบสี่เดือนในการสะสมระยะทางเพิ่มอีกสองพันกิโลเมตร

เริ่มต้นเดือนมิถุนายนกับรองเท้าคู่ใหม่ทันที

  

วันแรกของการวิ่ง บรรจุ Nike+Sensor ลงในหลุมของรองเท้าข้างซ้ายอย่างที่ควรจะเป็นและออกวิ่ง ผลที่ได้ไม่ต่างจากที่คาดไปเท่าใดนัก นั่นคือสัญญาณจากเซนเซอร์ในรองเท้าออกอาการติดๆ ดับๆ ทำให้ข้อมูลการวิ่งขาดๆ หายๆ กลายเป็น pace –.– min/km อยู่เนืองๆ ทำให้ทำระยะทางได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างชัดเจน

อีกประเด็นคือเชือกรองเท้าข้างขวาที่ผูกไว้รู้สึกว่าหลวมไปสักหน่อย ทำให้รู้สึกไม่กระชับในระหว่างวิ่ง ต้องคอยพวงอยู่เรื่อย

หลังการวิ่ง ได้สร้างเป้าหมายใหม่สำหรับเดือนนี้ว่าจะสะสมระยะทางให้ได้ 150KM ภายใน 4 สัปดาห์

  

วันที่สองของการวิ่ง พาตัวเซนเซอร์กลับมาติดตั้งที่เชือกผูกรองเท้าข้างซ้ายเหมือนอย่างเคย ทำให้แก้ปัญหาสัญญาณขาดหายได้เรียบร้อย ส่วนเชือกรองเท้าข้างขวาก็ผูกให้แน่นดีแล้วช่วยให้ความรู้สึกขณะวิ่งกลับสู่ปกติ เพียงแต่คุณภาพการนอนในคืนที่ผ่านมาไม่สู้ดีนัก คุณภาพการวิ่งจึงไม่ดีตามไปด้วย

  

วันที่สามของการวิ่ง พบว่ามีอาการเมื่อยล้าที่เท้าขวาในช่วงแรกของการวิ่ง แต่ก็ยังมีเรื่องของสุขภาพร่างกายมารบกวนการวิ่งอีกบ้าง

ความรู้สึกรวมๆ ของทั้งสามวันคือจากที่ผ่านมาการลงน้ำหนักที่ส้นเท้าจะมีพื้นรองเท้าที่สึกด้านนอกรองรับ ทำให้น้ำหนักถ่ายออกไป แต่รองเท้าคู่ใหม่นี้พื้นรองเท้ายังเต็มสมบูรณ์อยู่ การวิ่งจึงต้องค่อยๆ ปรับให้คุ้นเคยกับส้นรองเท้าที่เต็มและรับน้ำหนักได้เป็นอย่างดี รู้สึกได้ว่าน้ำหนักที่ลงไปเป็นแนวเส้นตรง เป็นปกติตามที่ควรจะเป็น

  

วันที่แปดของการวิ่ง สังเกตได้ว่าความเร็วในการวิ่งลดลงจากการวิ่งด้วยรองเท้าคู่เดิมอย่างชัดเจน แม้จะมีความรู้สึกว่ารองเท้าคู่นี้หนักกว่าคู่เดิม แต่นั่นก็เป็นเพียงความรู้สึก ปัจจัยของสุขภาพเองอาจจะเป็นสาเหตุก็เป็นได้ แถมการหายใจก็ทำได้ไม่สมบูรณ์นักอีก ความรู้สึกรวมๆ จึงยังคงไม่ดีนัก แถมยังพบว่าที่ระยะทาง 5 กิโลเมตรนั้นความเร็วตกลงไปอย่างน่าสงสัยมาก แต่ก็พยายามวิ่งต่อจนถึงระดับ 9KM เพื่อชดเชยวันวานที่วิ่งน้อยไปนิดหน่อย

  

วันที่เก้าของการวิ่ง สภาพอากาศค่อนข้างเป็นใจให้การวิ่งวันนี้ไม่ร้อนเกินไป วิ่งๆ ไปก็มีฝนตกลงมา แต่ความรู้สึกรวมๆ ค่อนข้างดีกว่าวันก่อน จึงตั้งใจถึงระดับ 9KM เหมือนวันที่แปดอีกครั้ง แม้จะพบว่าความเร็วบางช่วงจะตกลงไปบ้าง แถมการหายใจยังคงไม่ดีไม่เป็นปกตินัก

  

วันที่สิบของการวิ่ง ได้ความรู้สึกว่าเท้าและรองเท้าเข้ากันได้อย่างดีแล้ว แม้จะยังพบว่าความเร็วยังทำได้ไม่เหมือนเดิมและมีบางช่วงที่ความเร็วตกลงไปอย่างผิดสังเกต แต่จากนี้ไปความรู้สึกกับรองเท้าใหม่คู่นี้คงไม่มีอะไรต้องสงสัยอีกแล้ว

จนถึงวันที่นั่งเขียนนี้สามารถวิ่งไปกับ Nike Air Pegasus+ 26 ได้ครบเป้าหมาย 150KM เมื่อวันพุธที่แล้ว ไม่มีอาการบาดเจ็บตามมาไม่ว่าจะเป็นที่หัวเข่าหรือที่หลัง ความรู้สึกของนิ้วเท้า ข้อเท้าและฝ่าเท้าค่อนข้างสบาย หลังจากวิ่งแล้วพักเพียงนิดหน่อยก็หายล้าเป็นปลิดทิ้ง จากนี้จะได้ตั้งใจวิ่งเพื่อสุขภาพต่อไป และ Nike Air Pegasus+ 27 น่าจะเป็นรองเท้าคู่ใหม่เมื่อสะสมระยะได้ครบอีกสองพันกิโลเมตรในราวอีกสิบสามเดือนข้างหน้า


ข้อมูลเพิ่มเติม